ทำไมถึงปวดท้องปวดหลัง

ปวดท้อง ปวดหลัง…อาการธรรมดาหรือสัญญาณอันตราย?

อาการปวดท้องและปวดหลังเป็นอาการที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน สาเหตุอาจมาจากการนั่งทำงานนานๆ การยกของหนัก หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ แต่บางครั้ง อาการปวดเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงซ่อนอยู่ ซึ่งหากละเลยอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ ดังนั้น การทำความเข้าใจสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังอาการปวดท้องและปวดหลังจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง

ปวดท้องและปวดหลังร่วมกันนั้นไม่ได้มีสาเหตุเดียวเสมอไป ความรุนแรง ตำแหน่งที่ปวด และระยะเวลาของอาการล้วนเป็นตัวบ่งชี้สำคัญที่ช่วยแพทย์ในการวินิจฉัย ตัวอย่างสาเหตุที่พบบ่อยได้แก่:

• ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะ: เช่น นิ่วในไต การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ หรือโรคไตอักเสบ อาการปวดมักจะรุนแรง ปวดจี๊ดๆ และแผ่จากข้างลำตัวไปยังหลัง อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะแสบขัด หรือปัสสาวะมีเลือดปน

• ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร: เช่น แผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ หรือลำไส้แปรปรวน อาการปวดมักจะเกี่ยวข้องกับการรับประทานอาหาร อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือท้องผูกร่วมด้วย ความปวดอาจอยู่บริเวณท้องส่วนบนหรือล่าง และอาจแผ่ไปถึงหลังได้ โดยเฉพาะหากเกี่ยวข้องกับกระบวนการย่อยอาหาร

• ปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อและกระดูก: เช่น โรคกระดูกสันหลังเสื่อม กล้ามเนื้ออักเสบ หรือกล้ามเนื้อบาดเจ็บ อาการปวดมักจะเกิดจากการเคลื่อนไหวร่างกาย การยกของหนัก หรือการนั่งทำงานนานๆ ความปวดอาจมีตั้งแต่ปวดแบบตุ๊บๆ ถึงปวดแบบรุนแรง และอาจแผ่ไปยังบริเวณอื่นๆ ของร่างกายได้

• ปัญหาเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์: ในผู้หญิง อาการปวดท้องและปวดหลังอาจเกี่ยวข้องกับโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือการตั้งครรภ์นอกมดลูก ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

• ภาวะอื่นๆ: เช่น โรคตับอักเสบ มะเร็ง หรือภาวะแทรกซ้อนจากโรคเรื้อรังอื่นๆ ซึ่งอาจมีอาการปวดท้องและปวดหลังเป็นหนึ่งในอาการแสดง

เมื่อใดควรพบแพทย์?

หากคุณมีอาการปวดท้องและปวดหลังร่วมกัน และมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ไข้สูง คลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะผิดปกติ หรืออาการปวดรุนแรงมากขึ้น ควรไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด การวินิจฉัยที่ถูกต้องและการรักษาที่เหมาะสมจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ อย่าเพิกเฉยต่ออาการเหล่านี้ เพราะการรักษาในระยะเริ่มต้นมักจะได้ผลดีกว่าและช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนในอนาคต

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ หากคุณมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของคุณ โปรดปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง