ท้องเสียต้องถ่ายกี่ครั้ง

ท้องเสีย…ถ่ายกี่ครั้งถึงเรียกว่าอันตราย?

อาการท้องเสีย เป็นปัญหาที่พบได้บ่อย เกิดจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่การติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิต การแพ้อาหาร ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด ไปจนถึงความเครียด แต่คำถามสำคัญที่หลายคนสงสัยคือ ถ่ายเหลวกี่ครั้ง ถึงเรียกว่า “ท้องเสีย” และต้องไปพบแพทย์เมื่อไหร่?

จริงๆ แล้ว ไม่มีจำนวนครั้งที่ตายตัวในการถ่ายเหลวที่บ่งบอกว่าเป็น “ท้องเสีย” เพราะความถี่ในการขับถ่ายของแต่ละบุคคลแตกต่างกัน บางคนอาจถ่ายทุกวัน ขณะที่บางคนถ่ายเพียง 2-3 วันครั้ง สิ่งสำคัญที่ควรสังเกตมากกว่าจำนวนครั้ง คือ ลักษณะของอุจจาระ และอาการอื่นๆ ที่เกิดขึ้นร่วมด้วย

โดยทั่วไป หากถ่ายเหลวหรืออุจจาระเหลวมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน ร่วมกับอาการปวดท้อง แน่นท้อง หรือรู้สึกไม่สบายท้อง ก็สามารถจัดว่าเป็นอาการท้องเสียได้ ยิ่งถ่ายบ่อยและมีอาการรุนแรงมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องระวังมากขึ้นเท่านั้น

สัญญาณอันตรายที่ควรไปพบแพทย์ทันที:

• ถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้งมาก (มากกว่า 6-8 ครั้งต่อวัน)
• มีอาการขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง กระหายน้ำมาก ปัสสาวะน้อยลง เวียนศีรษะ
• อุจจาระมีมูกเลือดปน
• มีไข้สูง
• อาเจียนมาก
• ปวดท้องอย่างรุนแรง
• ท้องเสียเรื้อรังนานกว่า 2 สัปดาห์
• ในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ควรไปพบแพทย์เร็วกว่าปกติ แม้ว่าอาการจะไม่รุนแรงมากนัก เพราะกลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่อการขาดน้ำได้ง่าย

การดูแลตัวเองเบื้องต้นเมื่อมีอาการท้องเสีย:

• จิบน้ำเกลือแร่ น้ำข้าวต้ม หรือน้ำสะอาดบ่อยๆ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ
• รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก กล้วยน้ำว้าสุก
• หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง อาหารรสจัด นม และผลิตภัณฑ์จากนม รวมถึงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์
• พักผ่อนให้เพียงพอ

การดูแลสุขภาพลำไส้ให้แข็งแรงด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ และดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันอาการท้องเสีย อย่างไรก็ตาม หากมีอาการท้องเสียรุนแรง ถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้ง หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้