เด็กทารกควรได้รับเกลือแร่ชนิดใดเสริมเมื่ออายุ 6 เดือน

5 การดู

ทารกอายุ 6-11 เดือนควรได้รับเกลือแร่เสริมไอโอดีนวันละ 70 ไมโครกรัม เพื่อป้องกันการขาดไอโอดีนที่อาจส่งผลทำให้เกิดภาวะคอพอกและปัญหาด้านการเจริญเติบโต

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ไอโอดีน: สารอาหารสำคัญที่ทารกวัย 6-11 เดือน ต้องได้รับเสริม

ช่วงวัยทารกเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางสมองและร่างกาย การได้รับสารอาหารครบถ้วนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่นมแม่มักให้สารอาหารครบถ้วน แต่ก็มีบางสารอาหารที่อาจไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไอโอดีน ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญที่มักถูกมองข้ามไป

ทารกอายุ 6-11 เดือน มีความต้องการไอโอดีนสูงเพื่อรองรับการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว การขาดไอโอดีนอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อพัฒนาการของสมองและร่างกาย ทำให้เกิดภาวะคอพอก (Goiter) ซึ่งเป็นการบวมของต่อมไทรอยด์ นอกจากนี้ ยังอาจทำให้เกิดภาวะปัญญาอ่อน การเจริญเติบโตช้า และปัญหาทางร่างกายอื่นๆ ตามมา

คำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ คือ ทารกอายุ 6-11 เดือน ควรได้รับไอโอดีนเสริมในปริมาณ 70 ไมโครกรัมต่อวัน ปริมาณนี้ถือเป็นปริมาณที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในช่วงวัยนี้

แต่การให้ไอโอดีนเสริมนั้น ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการก่อนเสมอ เพราะการรับประทานไอโอดีนมากเกินไปก็อาจเป็นอันตรายได้เช่นกัน แพทย์จะประเมินความต้องการไอโอดีนของทารกแต่ละคนตามปัจจัยต่างๆ เช่น สุขภาพโดยรวม ประวัติครอบครัว และแหล่งอาหารอื่นๆ ที่ทารกรับประทานอยู่

แหล่งไอโอดีนเสริม: ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับเด็กทารกที่มีไอโอดีนเป็นส่วนประกอบจำหน่ายอยู่หลายยี่ห้อ แต่ควรเลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้และมีคุณภาพ และปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากอย่างเคร่งครัด

นอกจากไอโอดีนแล้ว ทารกยังต้องการสารอาหารอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ธาตุเหล็ก วิตามินดี และสังกะสี การรับประทานอาหารที่หลากหลาย ครบ 5 หมู่ และการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ทารกเจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์

สรุป: การได้รับไอโอดีนในปริมาณที่เพียงพอเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทารกอายุ 6-11 เดือน การให้ไอโอดีนเสริมในปริมาณ 70 ไมโครกรัมต่อวัน ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ จะช่วยป้องกันการขาดไอโอดีนและส่งเสริมพัฒนาการของทารกได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าลืมปรึกษาแพทย์เสมอเพื่อวางแผนการดูแลโภชนาการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับลูกน้อยของคุณ

หมายเหตุ: บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้และสร้างความเข้าใจ ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนตัดสินใจให้สารอาหารเสริมใดๆ แก่ทารก