พรากผู้เยาว์อายุ 19 ปี มีโทษอย่างไร

4 การดู

หากผู้เยาว์อายุ 16-18 ปี ตกลงไปด้วย บุคคลที่กระทำการพรากผู้เยาว์จะต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 2 แสนบาท แม้ผู้เยาว์จะยินยอม การกระทำดังกล่าวก็ยังผิดกฎหมาย

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

พรากผู้เยาว์อายุ 19 ปี: ความเข้าใจผิดและความจริงทางกฎหมาย

ความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับกฎหมายพรากผู้เยาว์ คือ การคิดว่าอายุ 18 ปีขึ้นไปแล้วจะไม่ผิดกฎหมาย หากมีการกระทำทางเพศกับผู้เยาว์ ความจริงแล้ว กฎหมายไทยไม่ได้กำหนดอายุที่ชัดเจนว่า อายุเท่าใดถึงจะไม่ผิดกฎหมายในข้อหาพรากผู้เยาว์ แต่จะพิจารณาจากองค์ประกอบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ความยินยอม” ที่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับผู้เยาว์

กรณีพรากผู้เยาว์อายุ 19 ปี แม้ดูเหมือนจะเลยวัยเยาว์ตามความเข้าใจทั่วไป แต่ก็ยังมีช่องทางที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายได้ ขึ้นอยู่กับบริบทของเหตุการณ์ เช่น

  • การใช้กำลังข่มขืนหรือขู่เข็ญ: หากมีการใช้กำลัง บังคับ ขู่เข็ญ หรือใช้อำนาจเหนือกว่า เพื่อให้ผู้เยาว์อายุ 19 ปี มีความสัมพันธ์ทางเพศ แม้ผู้เยาว์จะไม่ได้ขัดขืนอย่างรุนแรง ก็ถือว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมาย และอาจมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา หรือกระทำอนาจาร ซึ่งมีโทษจำคุกสูงกว่าการพรากผู้เยาว์อย่างมาก

  • การล่อลวงหรือหลอกลวง: หากผู้กระทำความผิดใช้กลอุบาย ล่อลวง หรือหลอกลวง ให้ผู้เยาว์อายุ 19 ปี เชื่อว่าการกระทำนั้นไม่ผิด หรือเป็นสิ่งที่ควรกระทำ ก็อาจมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ แม้ผู้เยาว์จะให้ความยินยอมก็ตาม เนื่องจากการกระทำดังกล่าวเป็นการเอาเปรียบและใช้ประโยชน์จากความอ่อนต่อโลกของผู้เยาว์

  • สถานะความสัมพันธ์: สถานะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำและผู้เยาว์ก็เป็นปัจจัยสำคัญ เช่น ผู้กระทำเป็นครู อาจารย์ หรือบุคคลในตำแหน่งที่มีอำนาจเหนือกว่า การใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อแสวงหาประโยชน์ทางเพศกับผู้เยาว์ ถือเป็นการกระทำผิดร้ายแรง และมีบทลงโทษที่รุนแรงกว่าปกติ

บทสรุป:

การพิจารณาว่าการกระทำใดเข้าข่ายความผิดฐานพรากผู้เยาว์หรือไม่ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่ใช่เพียงแค่พิจารณาจากอายุของผู้เยาว์เพียงอย่างเดียว หากมีการกระทำที่เข้าข่ายใช้กำลัง บังคับ ขู่เข็ญ หรือการล่อลวง หลอกลวง แม้ผู้เยาว์อายุ 19 ปี ก็ยังมีความผิดตามกฎหมาย และอาจมีความผิดฐานอื่นๆ ร่วมด้วย ซึ่งโทษจำคุกอาจสูงถึงสิบกว่าปีหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์และดุลยพินิจของศาล

ดังนั้น การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การไม่กระทำการใดๆ ที่อาจเข้าข่ายพรากผู้เยาว์ และการเคารพสิทธิและความปลอดภัยของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชน ควรตระหนักว่า ความยินยอมของผู้เยาว์ไม่ใช่ข้ออ้างที่ปลดเปลื้องความรับผิดทางกฎหมายได้เสมอไป และการกระทำที่ดูเหมือนจะไม่รุนแรงอาจนำไปสู่โทษจำคุกและโทษปรับที่หนักหนาสาหัสได้