คะแนน t-score มช คิดยังไง

0 การดู

ตัวอย่างข้อมูลแนะนำใหม่:

มช. ใช้ T-Score ร่วมกับค่าน้ำหนักในการคำนวณคะแนนรวมสำหรับการสมัครเข้าศึกษา โดยแต่ละวิชาจะนำ T-Score คูณกับค่าน้ำหนักที่กำหนด แล้วหารด้วย 100 เพื่อให้ได้คะแนนที่ปรับแล้ว จากนั้นจึงนำคะแนนที่ปรับแล้วของทุกวิชามารวมกันเพื่อให้ได้คะแนนรวมสุดท้าย ซึ่งจะมีคะแนนเต็ม 100 คะแนน (อ้างอิง: คู่มือการรับสมัคร มช.)

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ไขข้อสงสัย: T-Score มช. คิดยังไง? ทำความเข้าใจระบบคะแนนเพื่อพิชิตคณะในฝัน

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เป็นหนึ่งในสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำของประเทศไทยที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากนักเรียนทั่วประเทศ การแข่งขันเพื่อเข้าศึกษาต่อจึงค่อนข้างสูง และหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการพิจารณาคือ “คะแนน” ซึ่งระบบการคิดคะแนนของ มช. นั้น มีความซับซ้อนกว่าการรวมคะแนนดิบแบบธรรมดา เพราะมีการนำ “T-Score” มาใช้ร่วมกับค่าน้ำหนักของแต่ละวิชา

บทความนี้จะมาเจาะลึกวิธีการคิดคะแนน T-Score ของ มช. อย่างละเอียด เพื่อให้น้องๆ ที่กำลังเตรียมตัวสอบเข้าศึกษาต่อ มช. ได้เข้าใจระบบการคิดคะแนนอย่างถ่องแท้ และสามารถวางแผนการอ่านหนังสือได้อย่างมีประสิทธิภาพ

T-Score คืออะไร? ทำไมต้องใช้?

T-Score เป็นคะแนนมาตรฐานที่ใช้ในการเปรียบเทียบผลการสอบของแต่ละวิชา ซึ่งมีความแตกต่างกันในเรื่องของความยากง่าย จำนวนผู้เข้าสอบ และการกระจายตัวของคะแนน การใช้ T-Score จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำเหล่านี้ และทำให้การเปรียบเทียบผลการสอบในแต่ละวิชาเป็นไปอย่างยุติธรรมมากขึ้น

โดยปกติแล้ว T-Score จะถูกปรับให้มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 50 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 10 ซึ่งหมายความว่าคะแนน T-Score ที่สูงกว่า 50 แสดงว่าคุณทำได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มผู้เข้าสอบ และคะแนน T-Score ที่ต่ำกว่า 50 แสดงว่าคุณทำได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย

ขั้นตอนการคำนวณคะแนน T-Score มช.

แม้ว่าทาง มช. จะไม่ได้เปิดเผยสูตรการคำนวณ T-Score อย่างเป็นทางการ แต่โดยทั่วไปแล้ว การคำนวณ T-Score จะมีขั้นตอนดังนี้:

  1. คำนวณคะแนนดิบ: หาคะแนนที่ได้จริงจากการสอบในแต่ละวิชา
  2. คำนวณค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ของคะแนนดิบ: คำนวณค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนดิบจากผู้เข้าสอบทั้งหมดในแต่ละวิชา
  3. แปลงคะแนนดิบเป็น Z-Score: ใช้สูตร Z = (X – Mean) / SD โดยที่:
    • Z คือ Z-Score
    • X คือ คะแนนดิบของผู้สอบ
    • Mean คือ ค่าเฉลี่ยของคะแนนดิบ
    • SD คือ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนดิบ
  4. แปลง Z-Score เป็น T-Score: ใช้สูตร T = 10Z + 50 โดยที่:
    • T คือ T-Score
    • Z คือ Z-Score

ตัวอย่างการคำนวณ (เพื่อความเข้าใจ):

สมมติว่าคุณสอบวิชาคณิตศาสตร์ได้ 70 คะแนน โดยที่ค่าเฉลี่ยของคะแนนดิบวิชาคณิตศาสตร์คือ 60 คะแนน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานคือ 10 คะแนน

  1. Z-Score: Z = (70 – 60) / 10 = 1
  2. T-Score: T = 10(1) + 50 = 60

ดังนั้น คะแนน T-Score ของคุณในวิชาคณิตศาสตร์คือ 60 คะแนน

T-Score กับค่าน้ำหนัก: คะแนนรวม มช. คำนวณอย่างไร?

สิ่งสำคัญที่ต้องทราบคือ คะแนน T-Score เพียงอย่างเดียว ไม่ได้เป็นตัวตัดสินว่าจะสามารถเข้าศึกษาต่อ มช. ได้หรือไม่ มช. จะนำ T-Score มาใช้ร่วมกับ “ค่าน้ำหนัก” ของแต่ละวิชา ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามคณะและสาขาวิชาที่เลือก

วิธีการคำนวณคะแนนรวม:

  1. หา T-Score ของแต่ละวิชา: คำนวณ T-Score ในแต่ละวิชาตามขั้นตอนที่กล่าวมาข้างต้น
  2. คูณ T-Score ด้วยค่าน้ำหนักที่กำหนด: ในคู่มือการรับสมัครของ มช. จะระบุค่าน้ำหนักของแต่ละวิชาไว้ เช่น วิชา A มีค่าน้ำหนัก 20%, วิชา B มีค่าน้ำหนัก 30%
  3. หารผลลัพธ์ด้วย 100: เพื่อให้ได้คะแนนที่ปรับแล้วของแต่ละวิชา
  4. รวมคะแนนที่ปรับแล้วของทุกวิชา: ผลรวมที่ได้คือคะแนนรวมสุดท้าย ซึ่งจะมีคะแนนเต็ม 100 คะแนน

ตัวอย่าง:

  • T-Score วิชา A: 60
  • ค่าน้ำหนักวิชา A: 20%
  • คะแนนที่ปรับแล้วของวิชา A: (60 * 20) / 100 = 12

ทำเช่นเดียวกันกับทุกวิชา แล้วนำคะแนนที่ปรับแล้วของทุกวิชามารวมกัน จะได้คะแนนรวมสุดท้าย

ข้อควรจำ:

  • ตรวจสอบค่าน้ำหนักของแต่ละวิชาในคู่มือการรับสมัครของ มช. ให้ละเอียด เพราะแต่ละคณะและสาขาวิชาอาจมีค่าน้ำหนักที่แตกต่างกัน
  • พยายามทำคะแนนในวิชาที่มีค่าน้ำหนักสูงให้ดี เพราะจะมีผลต่อคะแนนรวมอย่างมาก
  • แม้ว่า T-Score จะเป็นตัวช่วยในการเปรียบเทียบผลการสอบ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการเตรียมตัวอ่านหนังสืออย่างเต็มที่และทำข้อสอบให้ดีที่สุด

บทสรุป

การทำความเข้าใจระบบการคิดคะแนน T-Score ของ มช. จะช่วยให้น้องๆ สามารถวางแผนการเตรียมตัวสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยการเน้นอ่านวิชาที่มีค่าน้ำหนักสูง และทำความเข้าใจหลักการคำนวณ T-Score จะช่วยเพิ่มโอกาสในการพิชิตคณะในฝันของ มช. ได้อย่างแน่นอน ขอให้น้องๆ ทุกคนโชคดีในการสอบ!