ประเภทขององค์การแบ่งออกได้กี่ประเภท

2 การดู

แบ่งตามลักษณะความเป็นเจ้าของ ได้ 2 ประเภท ได้แก่

  • องค์การรัฐกิจ เป็นองค์การที่รัฐบาลเป็นเจ้าของและดำเนินการ
  • องค์การธุรกิจเอกชน เป็นองค์การที่บุคคล หรือกลุ่มบุคคลเป็นเจ้าของและดำเนินการ
ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

เจาะลึกประเภทขององค์การ: มากกว่าแค่รัฐและเอกชน

การแบ่งประเภทขององค์การตามลักษณะความเป็นเจ้าของออกเป็น “องค์การรัฐกิจ” และ “องค์การธุรกิจเอกชน” เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการทำความเข้าใจโครงสร้างพื้นฐานขององค์กรต่างๆ ที่รายล้อมชีวิตประจำวันของเรา แต่ในโลกที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การมองเพียงมิติเดียวอาจไม่เพียงพอ เราจึงควรขยายมุมมองเพื่อทำความเข้าใจประเภทขององค์การให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ขอบเขตที่กว้างกว่า: การแบ่งประเภทองค์การที่หลากหลาย

นอกเหนือจากความเป็นเจ้าของแล้ว ยังมีเกณฑ์อื่นๆ อีกมากมายที่เราสามารถนำมาใช้ในการแบ่งประเภทขององค์การได้ ทำให้เราเห็นภาพรวมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และสามารถวิเคราะห์บทบาทของแต่ละองค์การในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

1. การแบ่งตามวัตถุประสงค์หลัก:

  • องค์การแสวงหาผลกำไร: มุ่งเน้นการสร้างรายได้และผลกำไรสูงสุด เช่น บริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วน
  • องค์การไม่แสวงหาผลกำไร: มุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการของสังคม หรือบรรลุเป้าหมายเฉพาะ เช่น มูลนิธิ สมาคม องค์การพัฒนาเอกชน (NGOs)

ความแตกต่างนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากวิธีการบริหารจัดการ การวัดผล และการตัดสินใจขององค์การทั้งสองประเภทนี้จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

2. การแบ่งตามขนาด:

  • องค์การขนาดเล็ก: โดยทั่วไปมีพนักงานไม่เกิน 50 คน
  • องค์การขนาดกลาง: โดยทั่วไปมีพนักงานระหว่าง 51-200 คน
  • องค์การขนาดใหญ่: โดยทั่วไปมีพนักงานมากกว่า 200 คน

ขนาดขององค์การส่งผลต่อโครงสร้างองค์กร การสื่อสาร และความคล่องตัวในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง

3. การแบ่งตามภาคอุตสาหกรรม:

  • ภาคเกษตรกรรม: เน้นการผลิตพืชผลและปศุสัตว์
  • ภาคอุตสาหกรรม: เน้นการผลิตสินค้าสำเร็จรูป
  • ภาคบริการ: เน้นการให้บริการ เช่น การท่องเที่ยว การขนส่ง การเงิน

ภาคอุตสาหกรรมที่องค์การดำเนินงานอยู่ จะกำหนดลักษณะการแข่งขัน กฎระเบียบ และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง

4. การแบ่งตามโครงสร้างองค์กร:

  • องค์การที่มีโครงสร้างแบบ Functional: แบ่งตามหน้าที่งาน เช่น ฝ่ายผลิต ฝ่ายการตลาด ฝ่ายบัญชี
  • องค์การที่มีโครงสร้างแบบ Divisional: แบ่งตามผลิตภัณฑ์ ภูมิภาค หรือลูกค้า
  • องค์การที่มีโครงสร้างแบบ Matrix: ผสมผสานทั้งโครงสร้าง Functional และ Divisional

โครงสร้างองค์กรที่เหมาะสมจะช่วยให้องค์การทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ดี

5. การแบ่งตามลักษณะการดำเนินงาน:

  • องค์การที่เป็นแบบดั้งเดิม (Traditional Organization): เน้นลำดับชั้นการบังคับบัญชาที่ชัดเจน และการควบคุมจากส่วนกลาง
  • องค์การที่มีการปรับตัว (Adaptive Organization): เน้นความยืดหยุ่น การทำงานเป็นทีม และการกระจายอำนาจ

ในยุคดิจิทัล องค์การที่มีการปรับตัวจะมีความได้เปรียบในการแข่งขัน เนื่องจากสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็ว

สรุป: ความสำคัญของการเข้าใจประเภทองค์การ

การเข้าใจประเภทขององค์การในมิติต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการทำงานในองค์การ หรือศึกษาด้านการบริหารจัดการ เพราะจะช่วยให้เราสามารถ:

  • เลือกองค์การที่เหมาะสมกับความสนใจและทักษะ: เข้าใจวัฒนธรรมองค์กร ลักษณะงาน และโอกาสในการเติบโต
  • วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนขององค์การ: ระบุปัญหาและโอกาสในการปรับปรุง
  • พัฒนากลยุทธ์ที่เหมาะสม: กำหนดทิศทางและเป้าหมายขององค์การ

ดังนั้น การศึกษาและทำความเข้าใจประเภทขององค์การในหลากหลายมิติ จึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในโลกธุรกิจและสังคมที่ซับซ้อนในปัจจุบัน