03 AM กี่โมง

6 การดู

วิธีการนับเวลาแบบไทยโบราณใช้คำว่า ยาม โดยแบ่งเวลา 1 วัน เป็น 6 ยาม ยามหนึ่งเริ่มตั้งแต่เวลา 6 โมงเย็นถึง 9 โมงเย็น ยามสอง 9 โมงเย็น ถึง เที่ยงคืน และต่อเนื่องไปจนถึงยามหก เวลา 6 โมงเย็นของอีกวัน การนับยามนี้แสดงถึงความเชื่อมโยงกับธรรมชาติและกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละช่วงเวลา

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

03.00 น. คือยามใด และความหมายเบื้องหลังเวลาในระบบนับยามไทย

เวลา 03.00 น. ในระบบการนับเวลาแบบปัจจุบันที่เราคุ้นเคย คือช่วงเวลาแห่งความเงียบสงบ ก่อนที่แสงอรุณจะเริ่มทอประกาย แต่หากมองผ่านเลนส์ของระบบการนับเวลาแบบไทยโบราณที่ใช้ “ยาม” เวลา 03.00 น. นั้นตกอยู่ภายใต้ยามใด และมีความหมายอย่างไรบ้าง นี่คือสิ่งที่เราจะมาสำรวจร่วมกัน

ระบบนับยามของไทยโบราณ แบ่งเวลา 1 วัน (24 ชั่วโมง) ออกเป็น 6 ยาม โดยแต่ละยามกินเวลา 4 ชั่วโมง การกำหนดช่วงเวลานั้นไม่ใช่การนับต่อเนื่องจาก 00.00 น. แต่เริ่มต้นจากช่วงหัวค่ำ คือยามหนึ่ง ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ถึง 22.00 น. (ช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว) จึงเป็นการนับเวลาตามจังหวะของธรรมชาติ มากกว่าการนับเวลาเชิงเลขที่ตายตัว

หากเราไล่เรียงตามลำดับยาม จะพบว่า:

  • ยามหนึ่ง (18.00 – 22.00 น.): ช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ตกดิน เริ่มมืดค่ำ ผู้คนเริ่มพักผ่อน เป็นช่วงเวลาแห่งความสงบและการเตรียมตัวเข้านอน

  • ยามสอง (22.00 – 02.00 น.): ช่วงเวลาแห่งราตรีที่มืดมิดที่สุด ความเงียบสงัดปกคลุม เป็นช่วงเวลาที่ใช้ในการพักผ่อนอย่างเต็มที่

  • ยามสาม (02.00 – 06.00 น.): ช่วงเวลาก่อนรุ่งอรุณ ความมืดเริ่มคลายลง ธรรมชาติเริ่มตื่นตัว เสียงสัตว์ต่างๆ เริ่มดังขึ้น บางครั้งเรียกว่า “ยามไก่” เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ไก่เริ่มขัน

  • ยามสี่ (06.00 – 10.00 น.): ช่วงเวลาแห่งรุ่งอรุณ แสงอาทิตย์เริ่มส่องสว่าง ผู้คนเริ่มตื่นขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวัน

  • ยามห้า (10.00 – 14.00 น.): ช่วงเวลาเที่ยงวัน ดวงอาทิตย์อยู่สูงบนท้องฟ้า อากาศร้อนอบอ้าว เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง

  • ยามหก (14.00 – 18.00 น.): ช่วงเวลาบ่ายแก่ แสงอาทิตย์เริ่มอ่อนลง เตรียมตัวเข้าสู่ยามหนึ่งอีกครั้ง

ดังนั้น เวลา 03.00 น. จึงอยู่ใน ยามสาม หรือที่เรียกกันว่า ยามไก่ เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านจากความมืดมิดสู่ความสว่าง เป็นเวลาแห่งความเงียบสงบก่อนที่ชีวิตประจำวันจะเริ่มต้นขึ้น สะท้อนถึงความเชื่อมโยงของมนุษย์กับธรรมชาติ ที่ต้องปรับตัวและดำเนินชีวิตไปตามจังหวะของดวงอาทิตย์และแสงสว่าง ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการนับเวลาในปัจจุบันที่เน้นความแม่นยำและความรวดเร็ว

การศึกษาเรื่องระบบนับยามนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราเข้าใจถึงวิธีการนับเวลาแบบโบราณของไทยเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราเห็นถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และความหมายของเวลาที่ไม่ใช่เพียงตัวเลข แต่มีความหมายและความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ภายใน เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ควรค่าแก่การศึกษาและอนุรักษ์ไว้สืบต่อไป