สูตรคํานวณ Margin Level คืออะไร
ระดับมาร์จินแสดงความสามารถในการเปิดพอร์ตการลงทุนเพิ่มเติม คำนวณจากส่วนของเงินทุนสุทธิเทียบกับมาร์จินที่ใช้ ยิ่งสูงยิ่งมีความเสี่ยงน้อย หากระดับมาร์จินลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ที่โบรกเกอร์กำหนด อาจถูกเรียกให้เพิ่มเงินค้ำประกัน การติดตามระดับมาร์จินอย่างใกล้ชิดจึงสำคัญต่อการบริหารความเสี่ยงในการลงทุน
ไขความลับ “Margin Level”: มาตรวัดความแข็งแกร่งของพอร์ตลงทุนที่คุณต้องรู้
ในโลกของการลงทุนที่มีเลเวอเรจ (Leverage) หรือการใช้เงินทุนยืมเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร “Margin Level” คือหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพราะมันเปรียบเสมือนมาตรวัดความแข็งแกร่งของพอร์ตลงทุน และบ่งบอกถึงความสามารถในการเปิดสถานะ (Open Position) เพิ่มเติมได้
Margin Level คืออะไร?
Margin Level คือ อัตราส่วนที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “Equity” (ส่วนของเงินทุนสุทธิ) กับ “Used Margin” (มาร์จินที่ใช้ไป) ในบัญชีซื้อขายของคุณ มันเป็นตัวบ่งชี้ว่าคุณมี “buffer” หรือพื้นที่เหลืออยู่มากน้อยแค่ไหนในการรองรับความผันผวนของตลาด และมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด
สูตรคำนวณ Margin Level
Margin Level สามารถคำนวณได้จากสูตรดังนี้:
Margin Level (%) = (Equity / Used Margin) x 100
- Equity (ส่วนของเงินทุนสุทธิ): คือ มูลค่ารวมของบัญชีของคุณ ณ ขณะนั้น คิดจาก Balance (เงินทุนเริ่มต้น) บวก/ลบ กำไร/ขาดทุน ที่ยังไม่ปิดสถานะ (Floating Profit/Loss)
- Used Margin (มาร์จินที่ใช้ไป): คือ จำนวนเงินที่ถูกกันไว้เพื่อเปิดและรักษาสถานะ (Open Positions) ในตลาด
ความสำคัญของ Margin Level
Margin Level เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญ เพราะ:
- บ่งบอกความสามารถในการเปิดสถานะเพิ่มเติม: ยิ่ง Margin Level สูง แสดงว่าคุณมีเงินทุนเหลือมากพอที่จะเปิดสถานะใหม่ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการถูก Margin Call (การเรียกให้เพิ่มเงินค้ำประกัน)
- สะท้อนระดับความเสี่ยง: Margin Level ที่ต่ำบ่งชี้ว่าพอร์ตของคุณมีความเสี่ยงสูง เนื่องจาก Equity เริ่มใกล้เคียงกับ Used Margin หากตลาดผันผวนไปในทิศทางที่ไม่เป็นใจ อาจทำให้คุณถูก Margin Call หรือ Stop Out (การปิดสถานะอัตโนมัติ)
- เป็นเกณฑ์ในการถูก Margin Call และ Stop Out: โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะมีระดับ Margin Level ที่กำหนดไว้เป็นเกณฑ์ หาก Margin Level ของคุณต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด โบรกเกอร์จะทำการ Margin Call เพื่อแจ้งให้คุณเติมเงินเข้าบัญชี หาก Margin Level ลดต่ำลงไปอีกจนถึงระดับ Stop Out โบรกเกอร์จะทำการปิดสถานะที่ขาดทุนโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันไม่ให้คุณขาดทุนเกินกว่าเงินทุนในบัญชี
ทำไมต้องติดตาม Margin Level อย่างใกล้ชิด?
การติดตาม Margin Level อย่างใกล้ชิดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารความเสี่ยง เพราะช่วยให้คุณ:
- ประเมินความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน: คุณสามารถใช้ Margin Level เป็นตัวบ่งชี้เพื่อประเมินว่าพอร์ตของคุณกำลังเผชิญกับความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด
- วางแผนการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ: การรู้ Margin Level ช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าควรเปิดสถานะเพิ่ม ลดขนาดสถานะ หรือปิดสถานะ เพื่อรักษาระดับความเสี่ยงที่เหมาะสม
- หลีกเลี่ยง Margin Call และ Stop Out: การติดตาม Margin Level ช่วยให้คุณสามารถเติมเงินเข้าบัญชี หรือปรับกลยุทธ์การลงทุนได้ทันท่วงที เพื่อหลีกเลี่ยงการถูก Margin Call หรือ Stop Out
สรุป
Margin Level คือมาตรวัดความแข็งแกร่งของพอร์ตลงทุนที่ขาดไม่ได้สำหรับนักลงทุนที่ใช้เลเวอเรจ การทำความเข้าใจและติดตาม Margin Level อย่างใกล้ชิด ช่วยให้คุณสามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการลงทุน
คำแนะนำเพิ่มเติม:
- ทำความเข้าใจนโยบาย Margin Call และ Stop Out ของโบรกเกอร์ที่คุณใช้บริการ
- กำหนดกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมกับสไตล์การลงทุนของคุณ
- ใช้เครื่องมือคำนวณ Margin Level เพื่อติดตามสถานะของพอร์ตลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
- อย่าลงทุนเกินตัว และอย่าใช้เลเวอเรจมากเกินไป
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจเรื่อง Margin Level และช่วยให้คุณบริหารความเสี่ยงในการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนะครับ
#Margin#คำนวณ#ระดับข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต