ทำไมน้ำย่อยเป็นสีเขียว

สีเขียวของน้ำย่อย: บทบาทของน้ำดีและความหมายเบื้องหลังอาการ

อาการอาเจียนเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อใดที่สีของสิ่งที่อาเจียนออกมาเปลี่ยนไปจากปกติ เช่น กลายเป็นสีเขียว เราก็มักจะรู้สึกกังวลใจ สีเขียวนี้ไม่ได้มาจากน้ำย่อยโดยตรง แต่เป็นผลมาจากการปนเปื้อนของ น้ำดี (Bile) สารเหลวสีเขียวหรือเหลืองอมเขียวที่ผลิตขึ้นในตับ มีบทบาทสำคัญในการย่อยไขมัน

น้ำดีจะถูกเก็บไว้ในถุงน้ำดีก่อนที่จะถูกปล่อยออกมาในลำไส้เล็กเพื่อช่วยในการย่อยและดูดซึมไขมัน โดยปกติแล้ว น้ำดีจะไม่เข้าสู่กระเพาะอาหาร ดังนั้นการพบเห็นน้ำดีปนอยู่ในสิ่งที่อาเจียนออกมาจึงบ่งบอกว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในระบบทางเดินอาหาร

เหตุใดน้ำดีจึงมีสีเขียว?

สีเขียวของน้ำดีนั้นมาจาก บิลิรูบิน (Bilirubin) สารประกอบสีเหลืองที่เกิดจากการสลายตัวของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงเก่า บิลิรูบินที่ยังไม่ได้ถูกแปรรูปจะมีสีเหลือง แต่เมื่อถูกเปลี่ยนแปลงทางเคมีในตับและผ่านกระบวนการออกซิเดชั่นจะกลายเป็นสีเขียว ซึ่งเป็นสีที่พบได้ในน้ำดี

อาเจียนสีเขียว: เมื่อไรควรไปพบแพทย์?

อาการอาเจียนที่มีสีเขียวเป็นบางครั้ง โดยเฉพาะหลังท้องว่างเป็นเวลานาน อาจไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลมากนัก อย่างไรก็ตาม หากอาการอาเจียนสีเขียวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง หรือมาพร้อมกับอาการอื่นๆ เช่น:

• ปวดท้องอย่างรุนแรง: อาการปวดท้องอย่างรุนแรงอาจบ่งบอกถึงภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น การอุดตันของทางเดินอาหาร ลำไส้อักเสบ หรือแผลในกระเพาะอาหาร
• มีไข้: ไข้สูงอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
• ถ่ายอุจจาระผิดปกติ: เช่น ท้องเสียอย่างรุนแรง หรือท้องผูกอย่างต่อเนื่อง
• อาเจียนเป็นเลือดหรือมีลักษณะคล้ายกากกาแฟ: ซึ่งบ่งชี้ถึงการมีเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร
• อาเจียนอย่างต่อเนื่องและรุนแรง: อาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำและความไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลต์

ในกรณีเหล่านี้ จำเป็นต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริง แพทย์จะทำการตรวจร่างกาย ตรวจเลือด และอาจทำการตรวจเพิ่มเติมอื่นๆ เช่น การเอกซเรย์หรือการส่องกล้อง เพื่อวินิจฉัยและให้การรักษาที่เหมาะสม การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ อาจรวมถึงการรักษาด้วยยา การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน หรือการผ่าตัดในบางกรณี

บทสรุป

สีเขียวของน้ำย่อยที่เห็นในอาการอาเจียนนั้นเกิดจากน้ำดี แม้ว่าบางครั้งอาจไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล แต่หากมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย หรืออาการไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที การป้องกันที่ดีที่สุดคือการดูแลสุขภาพระบบทางเดินอาหารให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาในระบบทางเดินอาหาร