ภูมิคุ้มกันรับมา มีอะไรบ้าง

49 การดู

ภูมิคุ้มกันรับมา คือ ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายได้รับจากภายนอก เช่น การฉีดเซรุ่มภูมิคุ้มกัน หรือการได้รับแอนติบอดีจากน้ำนมแม่ เพื่อต่อต้านเชื้อโรคโดยตรงทันที เซรุ่มพิษงูและเซรุ่มพิษสุนัขบ้า เป็นตัวอย่างของภูมิคุ้มกันรับมาประเภทฉีด ส่วนการได้รับแอนติบอดีจากนมแม่เป็นภูมิคุ้มกันรับมาแบบธรรมชาติ

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ภูมิคุ้มกันรับมา: โล่กำบังชั่วคราวที่แข็งแกร่ง

ระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์เปรียบเสมือนกองทัพที่แข็งแกร่ง ปกป้องร่างกายจากการรุกรานของเชื้อโรคต่างๆ นอกจากภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเอง (ภูมิคุ้มกันจำเพาะ) แล้ว เรายังได้รับภูมิคุ้มกันจากภายนอกที่เรียกว่า “ภูมิคุ้มกันรับมา” ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยปกป้องเราจากโรคร้ายได้อย่างทันท่วงที แต่ความคุ้มครองนี้มักจะเป็นเพียงชั่วคราว แตกต่างจากภูมิคุ้มกันที่สร้างเองซึ่งมีความยั่งยืนมากกว่า

ภูมิคุ้มกันรับมา คือ การได้รับแอนติบอดี (antibody) หรือภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปจากแหล่งภายนอก ทำให้ร่างกายมีขีดความสามารถในการต่อสู้กับเชื้อโรคได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้ระบบภูมิคุ้มกันสร้างแอนติบอดีขึ้นมาเอง ซึ่งอาจใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ ทำให้ภูมิคุ้มกันรับมาเป็นเสมือน “โล่กำบังชั่วคราว” ที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือเมื่อเผชิญกับเชื้อโรคที่มีความรุนแรงสูง

เราสามารถแบ่งภูมิคุ้มกันรับมาออกได้เป็นสองประเภทหลักๆ คือ:

1. ภูมิคุ้มกันรับมาแบบประดิษฐ์: เป็นการได้รับแอนติบอดีจากแหล่งภายนอกที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยทั่วไปมักอยู่ในรูปของเซรุ่ม (serum) ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ:

  • เซรุ่มต่อต้านพิษงู: เมื่อถูกงูพิษกัด การฉีดเซรุ่มต่อต้านพิษงูจะช่วยลดความรุนแรงของพิษและเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิต เพราะเซรุ่มนี้มีแอนติบอดีที่สามารถจับกับพิษงูได้โดยตรง ทำลายพิษและลดผลกระทบต่อร่างกาย
  • เซรุ่มต่อต้านพิษสุนัขบ้า: คล้ายคลึงกับเซรุ่มต่อต้านพิษงู เซรุ่มนี้มีแอนติบอดีที่สามารถต่อต้านไวรัสโรคพิษสุนัขบ้าได้ ช่วยลดความรุนแรงของโรคและเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาด
  • เซรุ่มภูมิคุ้มกันโรคอื่นๆ: ปัจจุบันมีการพัฒนาเซรุ่มภูมิคุ้มกันสำหรับโรคต่างๆ มากขึ้น เช่น โรคคางทูม โรคหัด และอื่นๆ แต่การใช้เซรุ่มเหล่านี้มักจำกัดเฉพาะในกรณีจำเป็น และต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

2. ภูมิคุ้มกันรับมาแบบธรรมชาติ: เป็นการได้รับแอนติบอดีจากแหล่งธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากน้ำนมแม่ ซึ่งเต็มไปด้วยแอนติบอดีที่ช่วยปกป้องทารกจากการติดเชื้อต่างๆ ในช่วงแรกเกิด เป็นภูมิคุ้มกันที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะระบบภูมิคุ้มกันของทารกยังไม่พัฒนาเต็มที่ น้ำนมแม่จึงเปรียบเสมือนเกราะป้องกันโรคติดเชื้อต่างๆ เช่น โรคท้องร่วง โรคปอดบวม และการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต

แม้ว่าภูมิคุ้มกันรับมาจะให้การป้องกันอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีข้อจำกัด คือ ภูมิคุ้มกันนี้มักจะไม่ยั่งยืน ร่างกายจะค่อยๆ ขจัดแอนติบอดีเหล่านี้ออกไป จึงไม่ได้ให้การป้องกันระยะยาวเหมือนภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเอง การสร้างภูมิคุ้มกันอย่างถาวรจำเป็นต้องอาศัยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การฉีดวัคซีน ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีจำเพาะขึ้นเอง และให้การป้องกันโรคได้อย่างยาวนานและมีประสิทธิภาพ

ภูมิคุ้มกันรับมาจึงเป็นส่วนสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยเสริมสร้างการป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องได้รับการป้องกันอย่างเร่งด่วน แต่การพึ่งพาภูมิคุ้มกันรับมาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การมีวิถีชีวิตที่ดี การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการได้รับวัคซีนอย่างครบถ้วน ยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงและยั่งยืน เพื่อปกป้องร่างกายจากภัยคุกคามของโรคต่างๆ ได้อย่างแท้จริง