โรคธาลัสซีเมีย กับ โลหิตจาง เหมือนกันไหม

1 การดู

ธาลัสซีเมียคือภาวะโลหิตจางทางพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติในการสร้างฮีโมโกลบิน ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่าย นำไปสู่ภาวะเลือดจางเรื้อรัง ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้แก่ นิ่วในถุงน้ำดี การเจริญเติบโตช้า และภาวะเหล็กเกิน ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของหัวใจและตับ

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ธาลัสซีเมีย…ใช่แค่โลหิตจางธรรมดา? ไขข้อสงสัยความแตกต่างและผลกระทบที่มากกว่า

เมื่อพูดถึง “โลหิตจาง” หลายคนอาจนึกถึงอาการอ่อนเพลีย หน้าซีด หรือเวียนศีรษะ แต่ความจริงแล้ว โลหิตจางเป็นเพียงอาการที่แสดงถึงภาวะเม็ดเลือดแดงในร่างกายมีปริมาณน้อยกว่าปกติ หรือเม็ดเลือดแดงนั้นมีฮีโมโกลบิน (โปรตีนที่ทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจน) ต่ำกว่าเกณฑ์ ซึ่งภาวะโลหิตจางนี้มีสาเหตุได้มากมาย หนึ่งในนั้นคือ “ธาลัสซีเมีย” โรคทางพันธุกรรมที่มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงแค่โลหิตจางทั่วไป

ธาลัสซีเมีย: โลหิตจางที่ซับซ้อนกว่า

แม้ว่าธาลัสซีเมียจะทำให้เกิดภาวะโลหิตจางเช่นเดียวกับโรคอื่นๆ แต่สิ่งที่ทำให้ธาลัสซีเมียแตกต่างคือ กลไกการเกิดโรคที่ซับซ้อนกว่า กล่าวคือ ธาลัสซีเมียเป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติในการสร้างฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง เมื่อร่างกายไม่สามารถสร้างฮีโมโกลบินได้อย่างปกติ จะส่งผลให้เม็ดเลือดแดงมีรูปร่างผิดปกติ เปราะบาง และแตกง่ายกว่าเม็ดเลือดแดงปกติ ทำให้เกิดภาวะโลหิตจางเรื้อรัง

ความรุนแรงที่หลากหลายและผลกระทบที่มากกว่าแค่ “ซีด”

สิ่งที่น่ากังวลคือ ธาลัสซีเมียมีความรุนแรงหลายระดับ ตั้งแต่พาหะที่ไม่มีอาการ ไปจนถึงผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากจนต้องได้รับการถ่ายเลือดเป็นประจำ นอกจากนี้ ผลกระทบของธาลัสซีเมียไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ภาวะโลหิตจางเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น

  • ภาวะเหล็กเกิน: การถ่ายเลือดบ่อยครั้งทำให้ร่างกายสะสมธาตุเหล็กมากเกินไป ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อหัวใจ ตับ และต่อมไร้ท่อ
  • นิ่วในถุงน้ำดี: การแตกทำลายของเม็ดเลือดแดงที่ผิดปกติทำให้เกิดการสร้างสารบิลิรูบิน (Bilirubin) มากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดนิ่วในถุงน้ำดี
  • การเจริญเติบโตช้า: ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ภาวะโลหิตจางเรื้อรังอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการ
  • กระดูกผิดรูป: ในผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ร่างกายอาจพยายามสร้างเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นในไขกระดูก ทำให้กระดูกขยายตัวและผิดรูป

การวินิจฉัยและการจัดการที่แตกต่าง

เนื่องจากธาลัสซีเมียเป็นโรคทางพันธุกรรม การวินิจฉัยจึงมักทำโดยการตรวจเลือดเพื่อดูชนิดของฮีโมโกลบิน และตรวจทางพันธุกรรมเพื่อยืนยันความผิดปกติ การรักษาธาลัสซีเมียมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ตั้งแต่การให้วิตามินเสริม การถ่ายเลือดเป็นประจำ ไปจนถึงการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด

สรุป: ธาลัสซีเมีย…มากกว่าแค่โลหิตจาง

ถึงแม้ว่าธาลัสซีเมียจะทำให้เกิดภาวะโลหิตจางเช่นเดียวกับโรคอื่นๆ แต่สิ่งที่ทำให้ธาลัสซีเมียแตกต่างคือ กลไกการเกิดโรคที่ซับซ้อน ความรุนแรงที่หลากหลาย และผลกระทบที่อาจส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ดังนั้น การทำความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างธาลัสซีเมียและโลหิตจางทั่วไปจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น