ก้มเงยแล้วหน้ามืดเกิดจากอะไร

4 การดู

อาการหน้ามืด วิงเวียน เมื่อก้มหรือเงยหน้า เกิดจากเลือดไม่ไปเลี้ยงสมองเพียงพอชั่วคราว (orthostatic hypotension) มักเกิดในผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคหัวใจ

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ก้มเงยแล้วหน้ามืด: สาเหตุที่ไม่ควรมองข้าม และวิธีรับมืออย่างถูกต้อง

อาการ “ก้มเงยแล้วหน้ามืด” เป็นอาการที่หลายคนเคยประสบพบเจอ อาจเป็นแค่ชั่วครู่แล้วหายไป หรืออาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียการทรงตัวและล้มลง อาการนี้เกิดจากอะไรกันแน่ และมีวิธีรับมืออย่างไรให้ถูกต้อง บทความนี้จะเจาะลึกถึงสาเหตุและแนวทางการดูแลตัวเอง เพื่อให้คุณเข้าใจอาการนี้อย่างถ่องแท้ และสามารถจัดการกับมันได้อย่างเหมาะสม

ทำไมก้มเงยแล้วถึงหน้ามืด?

แม้ว่าอาการหน้ามืดจากการเปลี่ยนแปลงท่าทางอย่างรวดเร็ว (Orthostatic Hypotension) จะเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของอาการก้มเงยแล้วหน้ามืดได้เช่นกัน:

  • ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ: ระบบประสาทอัตโนมัติมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายโดยที่เราไม่ต้องสั่งการ เช่น การเต้นของหัวใจ การหายใจ และการปรับความดันโลหิต เมื่อก้มหรือเงย ระบบประสาทอัตโนมัติจะปรับความดันโลหิตให้เหมาะสม หากระบบนี้ทำงานผิดปกติ อาจทำให้ความดันโลหิตลดลงมากเกินไป จนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทัน
  • ภาวะขาดน้ำ: การขาดน้ำทำให้ปริมาณเลือดในร่างกายลดลง ส่งผลให้ความดันโลหิตต่ำ และเมื่อก้มเงย เลือดอาจไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
  • ผลข้างเคียงจากยา: ยาบางชนิด เช่น ยาลดความดันโลหิต ยาขับปัสสาวะ ยาแก้ซึมเศร้า และยาขยายหลอดเลือด อาจมีผลข้างเคียงทำให้ความดันโลหิตต่ำลง และเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการหน้ามืดเมื่อเปลี่ยนท่าทาง
  • โรคประจำตัวอื่นๆ: นอกจากโรคหัวใจและหลอดเลือดแล้ว โรคอื่นๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคพาร์กินสัน โรคต่อมหมวกไต และภาวะโลหิตจาง ก็อาจเป็นสาเหตุของอาการหน้ามืดได้เช่นกัน
  • การพักผ่อนไม่เพียงพอ: การอดนอนหรือนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาทและระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้ร่างกายไม่สามารถปรับตัวได้ทันทีเมื่อเปลี่ยนท่าทาง
  • การรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล: การขาดสารอาหารบางชนิด เช่น วิตามินบี 12 หรือธาตุเหล็ก อาจส่งผลต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง และเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการหน้ามืด
  • การอยู่ในที่ร้อนจัด: อากาศร้อนทำให้หลอดเลือดขยายตัว ความดันโลหิตลดลง และเพิ่มโอกาสในการเกิดอาการหน้ามืด

เมื่อเกิดอาการหน้ามืด ควรทำอย่างไร?

เมื่อรู้สึกหน้ามืด วิงเวียน หรือคล้ายจะเป็นลม ควรปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้:

  1. หยุดกิจกรรมที่ทำอยู่ทันที: เพื่อป้องกันการพลัดตกหรือเกิดอุบัติเหตุ
  2. นั่งลงหรือนอนราบ: หากเป็นไปได้ ควรนอนราบและยกขาสูงขึ้น เพื่อให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น
  3. หายใจเข้าออกลึกๆ: การหายใจลึกๆ จะช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือด และกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท
  4. ดื่มน้ำ: หากรู้สึกกระหายน้ำ ควรดื่มน้ำเปล่าช้าๆ เพื่อเพิ่มปริมาณเลือดในร่างกาย
  5. ประเมินอาการ: หากอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก หรือหมดสติ ควรรีบไปพบแพทย์

แนวทางการป้องกันอาการหน้ามืด

  • เปลี่ยนท่าทางอย่างช้าๆ: เมื่อลุกขึ้นยืนหรือนั่งลง ควรค่อยๆ เปลี่ยนท่าทาง เพื่อให้ร่างกายมีเวลาปรับตัว
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน เพื่อรักษาระดับน้ำในร่างกาย
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 และสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน: เครื่องดื่มเหล่านี้อาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของระบบหัวใจและหลอดเลือด
  • ปรึกษาแพทย์: หากมีอาการหน้ามืดบ่อยๆ หรือมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม

ข้อควรจำ:

อาการหน้ามืดจากการก้มเงย อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงกว่าที่คิด การใส่ใจสังเกตอาการของตนเอง และปรึกษาแพทย์เมื่อจำเป็น จะช่วยให้คุณได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

คำเตือน: ข้อมูลในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ทั่วไปเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำทางการแพทย์จากผู้เชี่ยวชาญได้ หากมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพโดยตรง