คนเราจะฉี่ทุกกี่ชั่วโมง

5 การดู

ปกติคนเราปัสสาวะ 5-6 ครั้งใน 24 ชั่วโมง หากปัสสาวะบ่อยกว่านี้หรือมีปริมาณมากขึ้นโดยไม่ดื่มน้ำมากผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคอื่นๆได้

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ความถี่ในการปัสสาวะ: สัญญาณบอกสุขภาพที่คุณไม่ควรมองข้าม

การปัสสาวะเป็นกระบวนการธรรมชาติที่ร่างกายขับของเสียออกจากระบบ แต่ความถี่ในการปัสสาวะนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ปริมาณน้ำที่ดื่ม กิจกรรมทางกาย อุณหภูมิของสภาพแวดล้อม และแม้กระทั่งการใช้ยาบางชนิด อย่างไรก็ตาม การเข้าใจความถี่ในการปัสสาวะที่ถือว่า “ปกติ” สามารถช่วยให้เราสังเกตเห็นความผิดปกติที่อาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพได้

โดยทั่วไปแล้ว คนส่วนใหญ่จะปัสสาวะประมาณ 5-7 ครั้ง ในช่วง 24 ชั่วโมง แต่ตัวเลขนี้ไม่ใช่มาตรฐานตายตัว บางคนอาจปัสสาวะน้อยกว่าหรือมากกว่านี้ก็ได้โดยที่ยังคงอยู่ในเกณฑ์ปกติ ความแตกต่างนี้เกิดจากปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวไปข้างต้น เช่น หากดื่มน้ำมากๆ ก็ย่อมปัสสาวะบ่อยขึ้น หรือในวันที่อากาศร้อนจัด ร่างกายก็อาจขับเหงื่อและปัสสาวะมากกว่าปกติ

สิ่งสำคัญที่ควรสังเกตคือ ปริมาณของปัสสาวะต่อครั้ง และ ความรู้สึกจำเป็นต้องปัสสาวะ หากรู้สึกปัสสาวะบ่อยมากขึ้นอย่างผิดปกติ หรือปัสสาวะแต่ละครั้งมีปริมาณน้อย แม้ว่าจะไม่ได้ดื่มน้ำมากเป็นพิเศษ ควรตระหนักว่านี่อาจเป็นสัญญาณเตือนบางอย่าง เช่น

  • ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ (UTI): อาการจะมาพร้อมกับความรู้สึกปวดแสบร้อนเวลาปัสสาวะ ปัสสาวะขุ่นหรือมีกลิ่นเหม็น และอาจมีไข้ร่วมด้วย

  • โรคเบาหวาน: ร่างกายขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะมากขึ้น ทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้นและปริมาณมากขึ้น

  • ภาวะไตวาย: ไตทำงานผิดปกติ จึงขับของเสียออกจากร่างกายได้ไม่ดี ส่งผลให้ปัสสาวะบ่อยหรือปัสสาวะน้อยลง

  • การตั้งครรภ์: มดลูกที่ขยายตัวจะไปกดทับกระเพาะปัสสาวะ จึงทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น

  • ผลข้างเคียงของยาบางชนิด: เช่น ยาขับปัสสาวะ

  • ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ (Urge incontinence): มีความรู้สึกอยากปัสสาวะอย่างเร่งด่วนและควบคุมไม่ได้

หากคุณสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในความถี่ในการปัสสาวะ ปริมาณปัสสาวะ หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม อย่าปล่อยปละละเลย เพราะความผิดปกติในการปัสสาวะอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ทั่วไปเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ หากมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเสมอ