คนไทยป่วยเป็นโรคอะไรมากที่สุด

5 การดู
ข้อมูลล่าสุดชี้ว่าโรคไม่ติดต่อเรื้อรังครองแชมป์ความชุกชุมในคนไทย โดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน และโรคหัวใจ สะท้อนวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เช่น การบริโภคอาหารไม่สมดุล ขาดการออกกำลังกาย และความเครียด ส่งผลให้ต้องใช้ทรัพยากรด้านสาธารณสุขอย่างมาก การป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าการรักษา
ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

คนไทยป่วยเป็นอะไรมากที่สุด? คำถามที่ดูเรียบง่าย แต่มากไปด้วยความซับซ้อน เมื่อพิจารณาจากข้อมูลสุขภาพของคนไทยในปัจจุบัน คำตอบที่ชัดเจนที่สุดคือ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยเฉพาะสามโรคร้ายที่ครองแชมป์ความชุกชุมอย่างเหนียวแน่น นั่นคือ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและระบบสาธารณสุขของประเทศอย่างมหาศาล

สถิติจากกระทรวงสาธารณสุขในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาชี้ให้เห็นถึงอัตราผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่จำนวนผู้ป่วยที่มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอายุของผู้ป่วยที่ลดลงด้วย เราพบเห็นเด็กและวัยรุ่นที่เริ่มมีภาวะเสี่ยงต่อโรคเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตคนไทยอย่างชัดเจน

การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่ว่านี้ ส่วนหนึ่งมาจากความสะดวกสบายและความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้คนไทยเข้าถึงอาหารแปรรูป อาหารสำเร็จรูป และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงได้ง่ายขึ้น การบริโภคอาหารเหล่านี้เป็นประจำ ส่งผลให้ร่างกายได้รับพลังงานส่วนเกิน ไขมันอิ่มตัว และน้ำตาลในปริมาณมากเกินความจำเป็น เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และโรคหัวใจ

นอกจากนี้ การขาดการออกกำลังกายก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง วิถีชีวิตที่เน้นการนั่งทำงานเป็นเวลานาน การใช้รถยนต์ส่วนตัวเป็นหลัก และการใช้เวลาว่างกับกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้แรงกาย ทำให้ร่างกายขาดการเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง ระบบเผาผลาญทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้ร่างกายสะสมไขมัน และเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ

ความเครียดจากการทำงาน ปัญหาครอบครัว และสังคม ก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้ ความเครียดเรื้อรังทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกัน และระบบหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มโอกาสในการเกิดโรคต่างๆ ได้ง่ายขึ้น

การแก้ปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังจึงไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องใช้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนเอง การลงทุนด้านสาธารณสุขเพื่อการรักษา แม้จะจำเป็น แต่การป้องกันยังคงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่า การส่งเสริมให้ประชาชนมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี เช่น การบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การจัดการความเครียด และการเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ จะช่วยลดอัตราการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และสร้างสังคมไทยที่มีสุขภาพดีอย่างยั่งยืนต่อไป การสร้างจิตสำนึกและความตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการดูแลสุขภาพอย่างถูกวิธีจึงเป็นหัวใจสำคัญในการลดภาระด้านสุขภาพของประเทศในระยะยาว