คันคอไอไม่หยุดเกิดจากอะไร

คันคอ ไอไม่หยุด…มากกว่าแค่หวัดธรรมดา

อาการคันคอและไอที่ไม่หยุดหย่อนเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย แม้หลายคนอาจมองข้ามและคิดว่าเป็นเพียงอาการหวัดธรรมดาที่จะหายไปเอง แต่ความจริงแล้ว อาการเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่หลากหลาย ซึ่งหากปล่อยไว้อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ ดังนั้น การทำความเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

สาเหตุที่ทำให้คันคอและไอไม่หยุดนั้นมีได้หลายประการ โดยแบ่งได้เป็นกลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้:

1. การติดเชื้อ:

• ไวรัส: เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด เช่น ไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ ไวรัส RSV อาการมักเริ่มจากคันคอ เจ็บคอ ตามด้วยไอแห้งๆ อาจมีน้ำมูกไหล และอาการอื่นๆร่วมด้วย โดยทั่วไปจะหายเองได้ภายใน 7-10 วัน

• แบคทีเรีย: แม้จะพบได้น้อยกว่าการติดเชื้อไวรัส แต่การติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น ต่อมทอนซิลอักเสบ หรือหลอดลมอักเสบ ก็สามารถทำให้เกิดอาการคันคอและไอเรื้อรังได้ อาจมีเสมหะปนหนอง และอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษา

• เชื้อรา: ในบางกรณี การติดเชื้อราในระบบทางเดินหายใจ อาจทำให้เกิดอาการคันคอ ไอเรื้อรัง และอาจมีอาการอื่นๆร่วม เช่น หายใจลำบาก เสียงแหบ

2. ปฏิกิริยาการแพ้:

• ภูมิแพ้ทางเดินหายใจ: สารก่อภูมิแพ้ต่างๆ เช่น ละอองเกสร ฝุ่น ไรฝุ่น ขนสัตว์ สามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบในทางเดินหายใจ ส่งผลให้เกิดอาการคันคอ ไอ และน้ำมูกไหล อาจมีอาการคันจมูก และตาแดงร่วมด้วย

• การแพ้ยาหรืออาหาร: บางคนอาจมีอาการแพ้ยาหรืออาหารบางชนิด ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการคันคอและไอได้ อาการอาจรุนแรงถึงขั้นหายใจลำบาก หากสงสัยว่าแพ้อาหารหรือยา ควรปรึกษาแพทย์ทันที

3. โรคเรื้อรัง:

• โรคกรดไหลย้อน (GERD): กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในลำคอ ส่งผลให้เกิดอาการคันคอ ไอเรื้อรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนกลางคืนหรือหลังรับประทานอาหาร

• โรคหอบหืด: โรคหอบหืดเป็นโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง ที่ทำให้เกิดการอักเสบและการตีบตันของหลอดลม อาจทำให้เกิดอาการไอ หอบเหนื่อย และหายใจลำบาก ไออาจเป็นอาการหลักของโรคหอบหืด

• โรคปอดเรื้อรังอื่นๆ: โรคปอดเรื้อรังบางชนิด เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) หรือโรคถุงลมโป่งพอง ก็สามารถทำให้เกิดอาการไอเรื้อรังได้

เมื่อใดควรพบแพทย์?

หากอาการคันคอและไอไม่หยุดนานเกิน 2 สัปดาห์ หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ไข้สูง หายใจลำบาก เหนื่อยง่าย ไอมีเสมหะปนเลือด ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม อย่าปล่อยให้เป็นเรื้อรัง เพราะอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ทั่วไปเท่านั้น ไม่สามารถใช้ในการวินิจฉัยหรือรักษาโรคได้ หากมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์เสมอ