มีเสมหะทุกวันเกิดจากอะไร

7 การดู

เสมหะเกิดจากการที่ระบบทางเดินหายใจพยายามกำจัดสิ่งแปลกปลอม เช่น ฝุ่นละออง ไวรัส หรือแบคทีเรีย การสะสมของเซลล์เมือกและสารคัดหลั่งอื่นๆ อาจเกิดจากภาวะภูมิแพ้ โรคหอบหืด หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ หากมีเสมหะมากหรือเป็นนาน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

เสมหะทุกวัน: สาเหตุและการดูแล

เสมหะ เป็นของเหลวเหนียวๆ ที่เกิดขึ้นในระบบทางเดินหายใจ การมีเสมหะทุกวัน แม้จะดูเหมือนเรื่องธรรมดา แต่ก็อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ หลายคนอาจมองข้าม แต่การเข้าใจสาเหตุของการมีเสมหะทุกวัน จะช่วยให้เราสามารถดูแลสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สาเหตุของการมีเสมหะทุกวันนั้นหลากหลาย ส่วนใหญ่เกิดจากกระบวนการปกติของร่างกายในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม เช่น ฝุ่นละออง ควัน เชื้อโรค (แบคทีเรียและไวรัส) รวมถึงสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ ร่างกายจะสร้างเมือกเพื่อจับสิ่งเหล่านี้ เมือกเหล่านี้จะถูกขับออกมาตามธรรมชาติ หากไม่มีการติดเชื้อหรือโรคอื่นแทรกซ้อน ปริมาณเสมหะก็มักจะไม่มากและหายไปเองได้

อย่างไรก็ตาม การมีเสมหะทุกวัน อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงโรคต่างๆ ได้ เช่น

  • ภูมิแพ้: สิ่งกระตุ้นภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น ควัน ละอองเกสรพืช หรือสารเคมีบางชนิด อาจทำให้เกิดการอักเสบและการสร้างเมือกเพิ่มขึ้น
  • โรคหอบหืด: โรคหอบหืดจะทำให้ทางเดินหายใจอักเสบและแคบลง การสร้างเมือกจึงมากขึ้น และอาจมีอาการไอและหายใจลำบากร่วมด้วย
  • การติดเชื้อทางเดินหายใจ: การติดเชื้อ เช่น ไข้หวัดใหญ่ หวัด หรือโรคปอดบวม จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเมือกเพิ่มขึ้นเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค หากมีการติดเชื้อ อาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้ เจ็บคอ หรือปวดเมื่อยตามตัว
  • โรคเรื้อรังของระบบทางเดินหายใจ: โรคเรื้อรังบางชนิด เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) อาจทำให้เกิดการสร้างเมือกมากเกินไปและมีเสมหะทุกวันเป็นเวลานาน
  • การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ในระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดการอักเสบและมีเสมหะเป็นประจำ
  • การแพ้ยา: ในบางกรณี การแพ้ยาบางชนิด อาจทำให้เกิดอาการเสมหะเพิ่มขึ้น

การมีเสมหะทุกวันเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญ หากเสมหะมีปริมาณมาก สีผิดปกติ (เช่น สีเหลือง เขียว หรือมีเลือดปน) หรือมีอาการอื่นๆ ร่วม เช่น เจ็บคอ ไข้ ไอมาก หายใจลำบาก ควรไปพบแพทย์ทันที แพทย์จะสามารถวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริงและให้การรักษาที่เหมาะสมได้

การดูแลตนเองเบื้องต้น เช่น ดื่มน้ำมากๆ พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นภูมิแพ้ และรักษาสุขอนามัยที่ดี สามารถช่วยบรรเทาอาการได้บ้าง แต่ไม่ควรละเลยการไปพบแพทย์หากมีอาการรุนแรงหรือเป็นเวลานาน การรักษาอย่างถูกต้องและตรงจุดจะช่วยให้เราสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข