จะรู้ได้ยังไงว่าเป็นไข้เลือดออก

ไข้เลือดออก : รู้เท่าทันอาการก่อนสายเกินไป

ไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสที่แพร่กระจายโดยยุงลาย อาจเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพได้อย่างไม่คาดคิด หลายคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา แต่หากสังเกตดีๆ อาการบางอย่างสามารถบ่งชี้ถึงความร้ายแรงของโรคได้ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจอาการของไข้เลือดออกอย่างถูกต้อง เพื่อให้สามารถรับมือได้อย่างทันท่วงที

อาการเริ่มต้น : หลอกลวงเหมือนไข้หวัดธรรมดา

ช่วงแรกๆ ของโรคไข้เลือดออก อาการมักคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ทั่วไป ทำให้หลายคนละเลยหรือวินิจฉัยผิดพลาด อาการเหล่านี้รวมถึง:

• ไข้สูงอย่างฉับพลัน: อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจสูงถึง 39-40 องศาเซลเซียส เป็นอาการสำคัญที่บ่งบอกถึงความผิดปกติ
• ปวดศีรษะอย่างรุนแรง: ปวดศีรษะชนิดที่ไม่สามารถทนได้ อาจมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนร่วมด้วย
• ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อ: ปวดตามตัว โดยเฉพาะบริเวณกล้ามเนื้อและข้อต่างๆ อาจทำให้เคลื่อนไหวลำบาก

อาการเตือนภัย : สัญญาณที่บ่งบอกถึงความร้ายแรง

หากมีอาการดังกล่าวข้างต้นร่วมกับอาการต่อไปนี้ ควรไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะอาจบ่งบอกถึงภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงของโรคไข้เลือดออก:

• ปวดท้องอย่างรุนแรง: ปวดท้องอย่างต่อเนื่องและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อาจเป็นอาการของการมีเลือดออกในช่องท้อง
• อาเจียนอย่างรุนแรงและบ่อยครั้ง: อาเจียนอย่างต่อเนื่อง ไม่สามารถควบคุมได้ อาจมีเลือดปนในอาเจียน
• เลือดออกผิดปกติ: เช่น เลือดกำเดาไหล เหงือกบวมและมีเลือดออก เลือดออกตามไรฟัน หรือมีจ้ำเลือดขึ้นตามผิวหนัง ซึ่งเกิดจากภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
• ผิวหนังซีด: ผิวหนังซีดหรือดูซีดกว่าปกติ อาจเป็นอาการของการเสียเลือด
• อ่อนเพลียมากผิดปกติ: รู้สึกอ่อนเพลียอย่างมาก เหนื่อยล้าเกินกว่าอาการไข้หวัดธรรมดา

อย่าชะล่าใจ รีบพบแพทย์เมื่อสงสัย

การวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกต้องอาศัยการตรวจเลือด ดังนั้น หากคุณมีอาการสงสัยว่าอาจเป็นไข้เลือดออก อย่าลังเลที่จะไปพบแพทย์ การรักษาที่ทันท่วงทีจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนและเพิ่มโอกาสในการหายป่วยอย่างปลอดภัย

ป้องกันดีกว่าแก้ไข กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย

การป้องกันโรคไข้เลือดออกทำได้โดยการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เช่น กำจัดภาชนะที่อาจมีน้ำขัง หมั่นทำความสะอาดบ้านเรือน และใช้สารไล่ยุง การป้องกันที่ดีที่สุดคือการไม่ให้ยุงลายมีโอกาสกัดเรา

ข้อควรระวัง: บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้เป็นข้อมูลในการวินิจฉัยหรือรักษาโรคได้ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง