ซีสต์ เกิดจากสาเหตุอะไร

2 การดู

ซีสต์ใต้ผิวหนังก้น อาจเกิดจากการอักเสบของต่อมไขมัน รูขุมขนอุดตัน หรือการติดเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงปัจจัยเสี่ยงอย่างการเสียดสีกับเสื้อผ้า ความอ้วน และพันธุกรรม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ซีสต์: เจาะลึกสาเหตุการเกิดใต้ผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณก้น

ซีสต์ใต้ผิวหนัง เป็นถุงเนื้อเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยของเหลว กึ่งเหลว หรือของแข็ง มักไม่เป็นอันตราย แต่ก็สร้างความกังวลใจได้ โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นในบริเวณที่อับชื้นและเสียดสีง่ายอย่างก้น ซึ่งเพิ่มโอกาสการติดเชื้อและอักเสบ

การเกิดซีสต์ใต้ผิวหนังบริเวณก้นนั้น มีสาเหตุที่ซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายอย่าง เรามาเจาะลึกกันทีละปัจจัย:

  • ความผิดปกติของต่อมไขมัน: ต่อมไขมันมีหน้าที่ผลิตไขมันเพื่อหล่อเลี้ยงผิวหนัง แต่หากการผลิตไขมันผิดปกติ หรือท่อไขมันอุดตัน ก็อาจทำให้ไขมันสะสมจนเกิดเป็นซีสต์ได้ บริเวณก้นเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันขนาดใหญ่และค่อนข้างหนาแน่น จึงมีโอกาสเกิดซีสต์ชนิดนี้ได้มากขึ้น

  • รูขุมขนอุดตัน: การอุดตันของรูขุมขนจากเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว, สิ่งสกปรก, หรือไขมันส่วนเกิน สามารถนำไปสู่การสะสมของแบคทีเรียและการอักเสบ ส่งผลให้เกิดเป็นซีสต์ได้ การโกนขน, ถอนขน, หรือสวมใส่เสื้อผ้ารัดรูปที่ระบายอากาศไม่ดี ล้วนเป็นปัจจัยที่เพิ่มโอกาสการอุดตันของรูขุมขน

  • การติดเชื้อแบคทีเรีย: แบคทีเรียสามารถเข้าสู่รูขุมขนหรือต่อมไขมันที่อุดตัน ก่อให้เกิดการอักเสบและการสะสมของหนอง ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาของซีสต์ที่เจ็บปวดและมีอาการบวมแดง

  • การเสียดสีและแรงกดทับ: บริเวณก้นต้องรับแรงกดทับและเสียดสีจากการนั่ง, การสวมใส่เสื้อผ้า, และกิจกรรมต่างๆ การเสียดสีซ้ำๆ อาจทำให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบของผิวหนัง เพิ่มโอกาสการเกิดซีสต์

  • พันธุกรรม: บางคนมีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่จะมีต่อมไขมันที่ไวต่อการอุดตันหรือการอักเสบ ทำให้มีโอกาสเกิดซีสต์มากกว่าคนอื่น

  • ภาวะอ้วน: ภาวะอ้วนอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดซีสต์ เนื่องจากมีการผลิตไขมันมากขึ้น และมีโอกาสเกิดการเสียดสีของผิวหนังมากขึ้น

  • ฮอร์โมน: การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น หรือระหว่างตั้งครรภ์ อาจส่งผลต่อการทำงานของต่อมไขมันและเพิ่มโอกาสการเกิดซีสต์ได้

ถึงแม้ซีสต์ใต้ผิวหนังส่วนใหญ่มักไม่เป็นอันตราย แต่หากมีอาการปวด, บวม, แดง, หรือมีหนองไหลออกมา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม การบีบหรือเจาะซีสต์ด้วยตนเองอาจทำให้เกิดการติดเชื้อและแผลเป็นได้ แพทย์อาจแนะนำวิธีการรักษาต่างๆ เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะ, การฉีดยาสเตียรอยด์, หรือการผ่าตัดเอาซีสต์ออกในกรณีที่จำเป็น