ติดสารสเตียรอยด์กี่วันหาย

2 การดู

สิวสเตียรอยด์เกิดจากการใช้ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์มานานๆ ซึ่งจะทำให้เกิดสิวอักเสบ สิวอุดตัน และสิวผด หากเป็นไม่มากสามารถรักษาให้หายได้เอง แต่หากเป็นมาก อาจต้องรักษาโดยแพทย์ผิวหนังเพื่อลดการอักเสบและรอยดำจากสิว

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

กว่าจะโบกมือลาสิวสเตียรอยด์: กี่วันถึงจะหายขาด?

สิวสเตียรอยด์… ชื่อนี้อาจฟังดูไม่คุ้นหูเท่าสิวอักเสบ หรือสิวอุดตันทั่วไป แต่สำหรับใครที่เคยสัมผัสกับฤทธิ์ร้ายของมันแล้ว คงทราบดีว่าสิวประเภทนี้สร้างความกังวลใจไม่น้อยเลยทีเดียว สาเหตุหลักของการเกิดสิวสเตียรอยด์มาจากการใช้ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นยาทา ยารับประทาน หรือแม้แต่ยาฉีด เมื่อผิวหนังได้รับสเตียรอยด์ในปริมาณมากและต่อเนื่อง จะส่งผลให้โครงสร้างผิวอ่อนแอลง ภูมิคุ้มกันลดลง และเกิดการอักเสบจนกลายเป็นสิวในที่สุด

คำถามที่หลายคนสงสัยคือ แล้วสิวสเตียรอยด์จะต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะหายขาด? น่าเสียดายที่ไม่มีคำตอบตายตัว เพราะระยะเวลาในการรักษาจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ดังนี้

  • ระยะเวลาและปริมาณการใช้สเตียรอยด์: ยิ่งใช้สเตียรอยด์นานและในปริมาณมากเท่าไหร่ โอกาสที่สิวสเตียรอยด์จะรุนแรงและต้องใช้เวลารักษานานขึ้นก็มีมากขึ้นเท่านั้น
  • ความรุนแรงของสิว: หากสิวสเตียรอยด์มีลักษณะเป็นสิวอักเสบ สิวหัวหนอง หรือสิวผดกระจายตัวเป็นบริเวณกว้าง ย่อมต้องใช้เวลาในการรักษานานกว่าสิวสเตียรอยด์ที่มีอาการไม่รุนแรง
  • สภาพผิวของแต่ละบุคคล: สภาพผิวของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน บางคนผิวแข็งแรง ฟื้นตัวได้เร็ว ในขณะที่บางคนผิวบอบบาง แพ้ง่าย การตอบสนองต่อการรักษาก็จะแตกต่างกันไปด้วย
  • วิธีการรักษา: การเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวและความรุนแรงของสิว ก็มีผลต่อระยะเวลาในการรักษาเช่นกัน

โดยทั่วไปแล้ว สิวสเตียรอยด์ที่มีอาการไม่รุนแรง อาจสามารถหายได้เองภายใน 2-3 สัปดาห์ หลังจากหยุดใช้สเตียรอยด์ แต่ในกรณีที่สิวมีความรุนแรงมากขึ้น อาจต้องใช้เวลานาน หลายสัปดาห์ หรือหลายเดือน กว่าจะหายดี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาที่ถูกต้อง

สิ่งที่ควรทำเมื่อสงสัยว่าตัวเองเป็นสิวสเตียรอยด์:

  1. หยุดใช้สเตียรอยด์ทันที: การหยุดใช้สเตียรอยด์เป็นสิ่งแรกที่ต้องทำ แต่ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องและปลอดภัย
  2. ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง: หากสิวสเตียรอยด์มีอาการรุนแรง หรือไม่ดีขึ้นหลังจากหยุดใช้สเตียรอยด์ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
  3. ดูแลผิวอย่างอ่อนโยน: หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือสารกันเสีย
  4. หลีกเลี่ยงการสัมผัส แคะ แกะ เกา: การสัมผัสสิวโดยไม่จำเป็น อาจทำให้สิวอักเสบมากขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำ รอยแดง
  5. พักผ่อนให้เพียงพอ: การพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็วขึ้น

การรักษาที่อาจได้รับจากแพทย์:

  • ยาทาสิว: อาจได้รับยาทาสิวที่มีส่วนผสมของ Benzoyl peroxide, Clindamycin, หรือ Adapalene เพื่อช่วยลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
  • ยารับประทาน: ในกรณีที่สิวมีความรุนแรงมาก อาจได้รับยารับประทาน เช่น ยาปฏิชีวนะ หรือยา Isotretinoin (Accutane)
  • การฉีดสิว: การฉีดสิวด้วยสเตียรอยด์ (ในปริมาณที่ควบคุมโดยแพทย์) อาจช่วยลดการอักเสบของสิวเม็ดใหญ่ได้
  • การทำทรีตเมนต์: อาจมีการทำทรีตเมนต์เพื่อช่วยลดรอยดำ รอยแดง และฟื้นฟูสภาพผิว เช่น เลเซอร์ หรือการผลัดเซลล์ผิว

ข้อควรระวัง:

  • อย่าหลงเชื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่าสามารถรักษาสิวสเตียรอยด์ได้รวดเร็วทันใจ เพราะอาจมีส่วนผสมที่เป็นอันตรายต่อผิว
  • อย่าซื้อยามาใช้เองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจทำให้สิวมีอาการแย่ลง

การรักษาสิวสเตียรอยด์ต้องอาศัยความอดทน และการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจถึงสาเหตุของสิว และเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตนเอง หากปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด สิวสเตียรอยด์ก็จะค่อยๆ ดีขึ้น และกลับมามีผิวที่สวยใสได้ในที่สุด