ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะต้องให้ยาฆ่าเชื้อกี่วัน

ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ: ยาฆ่าเชื้อ กี่วันจึงพอ? คำตอบที่ไม่ตายตัว

การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection หรือ UTI) เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิง อาการที่คุ้นเคย เช่น ปัสสาวะแสบร้อน ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะขุ่น หรือปวดบริเวณกระเพาะปัสสาวะ มักทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายอย่างมาก และคำถามที่ตามมาคือ การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่จึงจะหาย? คำตอบคือ ไม่มีคำตอบตายตัว

ระยะเวลาการรับประทานยาปฏิชีวนะในการรักษา UTI ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ไม่ใช่แค่เพียงระยะเวลา 3-14 วันอย่างที่เข้าใจกันโดยทั่วไป ซึ่งเป็นเพียงช่วงเวลาที่พบได้บ่อย แต่ความจริงแล้วมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยสำคัญเหล่านั้นประกอบด้วย:

• ความรุนแรงของการติดเชื้อ: การติดเชื้อที่ไม่รุนแรง อาจหายได้ด้วยยาปฏิชีวนะเพียง 3-5 วัน แต่หากเป็นการติดเชื้อรุนแรง หรือลุกลามไปยังไต (pyelonephritis) อาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะนานถึง 10-14 วัน หรืออาจต้องใช้ยาชนิดอื่นร่วมด้วย

• ชนิดของเชื้อแบคทีเรีย: แบคทีเรียแต่ละชนิดมีความไวต่อยาปฏิชีวนะแตกต่างกัน แพทย์จะเลือกชนิดและปริมาณยาให้เหมาะสมกับเชื้อที่ตรวจพบ และบางชนิดอาจต้องใช้เวลารักษาที่นานขึ้น

• สภาพร่างกายของผู้ป่วย: ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือมีโรคประจำตัวอื่นๆ อาจใช้เวลารักษาที่นานขึ้น และอาจต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด

• การตอบสนองต่อการรักษา: แพทย์จะติดตามอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการแย่ลง อาจต้องเปลี่ยนชนิดหรือปริมาณยา หรืออาจต้องใช้เวลารักษาที่นานขึ้น

ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะเอง: การซื้อยาปฏิชีวนะเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง อาจทำให้เชื้อดื้อยา และการรักษาไม่ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ การใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่ถูกต้องอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้

การดูแลตนเองที่สำคัญ: นอกจากการรับประทานยาตามแพทย์สั่งแล้ว การดื่มน้ำมากๆ พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะ เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

สรุป: ระยะเวลาการรักษา UTI ด้วยยาปฏิชีวนะไม่ใช่เรื่องที่สามารถกำหนดได้ตายตัว การปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรับคำแนะนำในการรักษาที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็น อย่าพยายามรักษาตัวเอง เพราะอาจทำให้โรครุนแรงขึ้นและยากต่อการรักษาในที่สุด