ติดเชื้อในกระแสเลือดเพราะสาเหตุอะไร

3 การดู

การติดเชื้อในกระแสเลือดอาจเกิดจากการติดเชื้อจากบริเวณอื่นของร่างกาย เช่น ปอด ทางเดินปัสสาวะ และผิวหนัง ซึ่งเชื้อที่พบบ่อยที่สุดคือแบคทีเรีย

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

อันตรายที่มองไม่เห็น: เจาะลึกสาเหตุของการติดเชื้อในกระแสเลือด และปัจจัยเสี่ยงที่คุณอาจไม่เคยรู้

การติดเชื้อในกระแสเลือด หรือ Sepsis เป็นภาวะที่ร้ายแรงถึงชีวิต เกิดจากการตอบสนองที่ผิดปกติของร่างกายต่อการติดเชื้อ ซึ่งไม่ใช่แค่ “เชื้อโรคเข้าไปในเลือด” อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นการที่ระบบภูมิคุ้มกันทำงานเกินกว่าเหตุ จนทำลายอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เพื่อพยายามกำจัดเชื้อโรคนั้นเอง

แม้ว่าการติดเชื้อจากบริเวณอื่นๆ ของร่างกาย เช่น ปอดอักเสบ (Pneumonia), การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection – UTI), และการติดเชื้อที่ผิวหนัง (Skin Infection) จะเป็นสาเหตุหลักที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อแบคทีเรีย (Bacteria) แต่ยังมีปัจจัยและสาเหตุอื่นๆ ที่ซับซ้อนกว่านั้น ที่อาจนำไปสู่ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดได้ ซึ่งหลายคนอาจไม่เคยทราบมาก่อน

เจาะลึกเชื้อโรคตัวการ:

  • แบคทีเรีย (Bacteria): อย่างที่กล่าวไปข้างต้น แบคทีเรียเป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อในกระแสเลือด โดยเชื้อที่พบบ่อยได้แก่ Escherichia coli (E. coli), Staphylococcus aureus, และ Streptococcus pneumoniae ซึ่งสามารถแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดได้ง่ายดาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
  • ไวรัส (Viruses): แม้จะไม่บ่อยเท่าแบคทีเรีย แต่ไวรัสบางชนิดก็สามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดได้ เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus) และไวรัสเดงกี (Dengue virus)
  • เชื้อรา (Fungi): การติดเชื้อราในกระแสเลือดพบได้มากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลานาน ผู้ที่ใช้สายสวนปัสสาวะ หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
  • ปรสิต (Parasites): ในบางกรณี ปรสิตบางชนิด เช่น พยาธิมาลาเรีย (Malaria parasite) ก็สามารถทำให้เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดได้เช่นกัน

ปัจจัยเสี่ยงที่คาดไม่ถึง:

นอกเหนือจากการติดเชื้อจากบริเวณต่างๆ ของร่างกายแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจเพิ่มโอกาสในการเกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งหลายคนอาจมองข้ามไป:

  • อายุ: ทารกแรกเกิดและผู้สูงอายุมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อในกระแสเลือด เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ หรือเสื่อมสภาพตามวัย
  • โรคประจำตัว: ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคไต โรคปอด โรคหัวใจ หรือโรคมะเร็ง มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป
  • ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง: ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ที่ติดเชื้อ HIV/AIDS หรือผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อในกระแสเลือด
  • การใช้สายสวนต่างๆ: การใช้สายสวนปัสสาวะ สายสวนหลอดเลือดดำ หรือท่อช่วยหายใจ เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อในกระแสเลือด เนื่องจากเป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย
  • การผ่าตัด: การผ่าตัดใหญ่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อในกระแสเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการปนเปื้อนของเชื้อโรคในระหว่างการผ่าตัด
  • บาดแผล: บาดแผลเปิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบาดแผลที่ลึกและกว้าง เป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายและแพร่กระจายไปยังกระแสเลือดได้

สัญญาณเตือนที่ต้องรู้:

การสังเกตอาการเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการวินิจฉัยและรักษาภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรวดเร็ว สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ อาการที่ควรระวัง ได้แก่:

  • ไข้สูง หรือตัวเย็นผิดปกติ
  • หัวใจเต้นเร็ว
  • หายใจเร็ว หายใจลำบาก
  • สับสน มึนงง
  • ผิวหนังซีด หรือมีผื่นขึ้น
  • ปัสสาวะน้อยลง

การป้องกันดีกว่ารักษา:

แม้ว่าภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดจะเป็นภาวะที่ร้ายแรง แต่สามารถป้องกันได้ โดยการ:

  • ล้างมือบ่อยๆ: การล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดอย่างสม่ำเสมอ เป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
  • ฉีดวัคซีน: การฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ และโรคติดเชื้ออื่นๆ ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อในกระแสเลือดได้
  • ดูแลสุขภาพ: การรักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
  • ดูแลบาดแผล: ทำความสะอาดบาดแผลให้สะอาด และปิดแผลให้มิดชิด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  • ปรึกษาแพทย์: หากมีอาการของการติดเชื้อ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที

สรุป:

การติดเชื้อในกระแสเลือดเป็นภาวะที่ซับซ้อนและอันตราย สาเหตุไม่ได้จำกัดอยู่แค่การติดเชื้อจากบริเวณอื่นๆ ของร่างกาย แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่คาดไม่ถึง การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง และอาการของภาวะนี้ จะช่วยให้เราสามารถป้องกันและรับมือได้อย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิต