ต่อมน้ำเหลืองอักเสบใต้คางเกิดจากอะไร

ต่อมน้ำเหลืองอักเสบใต้คาง: สาเหตุที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังอาการบวม

ต่อมน้ำเหลืองเป็นส่วนสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีหน้าที่กรองของเสียและสิ่งแปลกปลอม เช่น แบคทีเรีย ไวรัส และเซลล์มะเร็ง เมื่อร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อ ต่อมน้ำเหลืองจะบวมและเจ็บ อาการต่อมน้ำเหลืองอักเสบใต้คางจึงเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติในร่างกาย แต่สาเหตุที่แท้จริงนั้นอาจมีความหลากหลายและซับซ้อนกว่าที่คิด

สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือการติดเชื้อ: ต่อมน้ำเหลืองใต้คางมักจะบวมโตเนื่องจากการติดเชื้อในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งรวมถึง:

• การติดเชื้อในช่องปากและลำคอ: นี่คือสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด เช่น โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ ต่อมทอนซิลอักเสบ ฟันผุ เหงือกอักเสบ หรือแผลในปาก เชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อเหล่านี้จะกระตุ้นให้ต่อมน้ำเหลืองทำงานหนักขึ้น ส่งผลให้บวมและเจ็บ

• การติดเชื้อในหู คอ จมูก: การติดเชื้อในหูชั้นกลาง ไซนัสอักเสบ หรือลำคออักเสบ ก็สามารถทำให้ต่อมน้ำเหลืองใต้คางอักเสบได้เช่นกัน เนื่องจากต่อมน้ำเหลืองในบริเวณนี้ทำหน้าที่กรองเชื้อโรคจากบริเวณเหล่านี้

• การติดเชื้อผิวหนัง: แผลติดเชื้อ สิวอักเสบ หรือการติดเชื้อผิวหนังอื่นๆ รอบๆ บริเวณคาง ก็สามารถกระตุ้นให้ต่อมน้ำเหลืองใต้คางบวมได้

สาเหตุอื่นๆ นอกเหนือจากการติดเชื้อ: แม้ว่าการติดเชื้อจะเป็นสาเหตุหลัก แต่ก็มีสาเหตุอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการต่อมน้ำเหลืองอักเสบใต้คางได้ เช่น:

• การแพ้: การแพ้สารก่อภูมิแพ้ต่างๆ เช่น อาหาร ยา หรือสารเคมี อาจทำให้เกิดอาการแพ้และกระตุ้นให้ต่อมน้ำเหลืองอักเสบได้

• โรค autoimmune: โรคภูมิต้านตนเองบางชนิด เช่น โรคลูปัส หรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ สามารถทำให้เกิดการอักเสบในต่อมน้ำเหลืองได้

• มะเร็ง: ในบางกรณี ต่อมน้ำเหลืองอักเสบอาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็ง แม้จะพบได้น้อย แต่ก็จำเป็นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด

เมื่อใดควรพบแพทย์: หากต่อมน้ำเหลืองใต้คางของคุณบวม เจ็บ และไม่หายไปภายใน 2 สัปดาห์ หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ไข้สูง หนาวสั่น น้ำหนักลด หรือมีก้อนที่แข็ง ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที

บทสรุป: ต่อมน้ำเหลืองอักเสบใต้คางส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ แต่ก็อาจมีสาเหตุอื่นๆ ที่ร้ายแรงกว่าได้ การสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดและการปรึกษาแพทย์เมื่อมีความกังวล เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

หมายเหตุ: บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ หากมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสม