ทำไมเจ็บคอนานจัง

เจ็บคอรำคาญ…นานเป็นเดือนแล้วทำไมหายไม่สักที?

อาการเจ็บคอเป็นอาการที่พบได้บ่อย ส่วนใหญ่แล้วมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่หายเองได้ภายใน 7-10 วัน แต่บางครั้งอาการเจ็บคอนั้นกลับเรื้อรัง ลากยาวเป็นหลายสัปดาห์หรือแม้กระทั่งเป็นเดือน ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าอาจมีสาเหตุที่ซับซ้อนมากกว่าที่คิด อย่ามองข้ามอาการนี้ เพราะความเจ็บป่วยที่อยู่เบื้องหลังอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้

นอกเหนือจากการติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุหลักแล้ว การเจ็บคอนานๆ อาจเกิดจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้:

1. การติดเชื้อแบคทีเรีย: หากอาการเจ็บคอร่วมกับไข้สูง ต่อมน้ำเหลืองโต และมีหนองที่ลำคอ อาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น ต่อมทอนซิลอักเสบ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ การรักษาที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ครบสูตรอาจทำให้อาการเรื้อรังและกลับมาเป็นซ้ำได้

2. โรคกรดไหลย้อน: กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร อาจทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอก และส่งผลให้เกิดการระคายเคืองที่ลำคอ ทำให้รู้สึกเจ็บคอแหบแห้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงกลางคืนหรือหลังรับประทานอาหาร

3. โรคภูมิแพ้: การแพ้สารก่อภูมิแพ้ต่างๆ เช่น ละอองเกสร ฝุ่น หรือขนสัตว์ อาจทำให้เยื่อบุในลำคออักเสบและบวม ส่งผลให้เกิดอาการคันคอ เจ็บคอ และไอเรื้อรัง

4. ความแห้งกร้านในลำคอ: การอยู่ในห้องแอร์ พูดมาก หรือหายใจทางปาก อาจทำให้ลำคอแห้งและระคายเคือง ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บคอได้ การดื่มน้ำมากๆ และใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในอากาศ อาจช่วยบรรเทาอาการได้

5. การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์: สารพิษจากบุหรี่และแอลกอฮอล์ จะไปทำลายเยื่อบุในลำคอ ทำให้เกิดการระคายเคือง เจ็บคอ และเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น มะเร็งลำคอ

6. โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน: ในบางกรณี อาการเจ็บคอเรื้อรังอาจเป็นสัญญาณของโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

เมื่อใดควรพบแพทย์?

หากอาการเจ็บคอยังคงอยู่เป็นเวลานานกว่า 2 สัปดาห์ หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ไข้สูง ไอเรื้อรัง กลืนลำบาก น้ำหนักลด หรือมีเลือดออกจากลำคอ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม การรักษาที่ตรงจุดจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต อย่าปล่อยให้ความเจ็บป่วยเล็กๆ นำไปสู่ปัญหาใหญ่ เพราะสุขภาพที่ดีคือสิ่งที่มีค่าที่สุด

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ หากมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเสมอ