ทําไมมือถึงชอบเป็นเหน็บชา

1 การดู

อาการมือชาอาจเกิดจากการนั่งท่าเดิมนานๆ ทำงานหนัก หรือการขาดสารอาหาร การนวดคลายกล้ามเนื้อบริเวณมือและแขนเบาๆ การดื่มน้ำมากๆ และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ช่วยบรรเทาอาการได้ แต่หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่ถูกต้อง

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ทำไมมือถึง “ชา” : ไขปัญหาสัญญาณเตือนที่ร่างกายส่งถึงคุณ

อาการ “มือชา” เป็นประสบการณ์ที่หลายคนเคยเจอ และมักสร้างความรำคาญใจไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกเหมือนมีมดไต่ยิบๆ ปวดแสบปวดร้อน หรือกระทั่งไร้ความรู้สึกชั่วขณะ สาเหตุของอาการเหล่านี้มีมากมาย และการทำความเข้าใจถึงต้นตอของปัญหา จะช่วยให้คุณรับมือและป้องกันอาการมือชาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มือชา…ไม่ใช่แค่เรื่องของท่านั่ง:

ถึงแม้ว่าการนั่งท่าเดิมนานๆ หรือการใช้งานมือหนักๆ จะเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย แต่ก็ไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้มือชา กลไกการเกิดอาการมือชาโดยทั่วไป มักเกี่ยวข้องกับ “เส้นประสาท” ที่ส่งสัญญาณความรู้สึกจากมือไปยังสมอง เมื่อเส้นประสาทเหล่านี้ถูกกดทับ ถูกรบกวน หรือได้รับความเสียหาย ก็จะส่งผลให้เกิดอาการชาขึ้นมา

เจาะลึกสาเหตุที่อาจซ่อนอยู่:

นอกเหนือจากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่อาจนำไปสู่อาการมือชาได้ เช่น

  • โรคประจำตัว: โรคเบาหวาน โรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ สามารถส่งผลกระทบต่อเส้นประสาทและทำให้เกิดอาการมือชาได้
  • การขาดวิตามิน: วิตามินบี 12 มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพของเส้นประสาท การขาดวิตามินบี 12 จึงอาจทำให้เกิดอาการชาตามปลายมือปลายเท้า
  • ภาวะ Carpal Tunnel Syndrome (CTS): เป็นภาวะที่เส้นประสาทมีเดียน (median nerve) ซึ่งอยู่บริเวณข้อมือ ถูกกดทับ ทำให้เกิดอาการชา เจ็บ และอ่อนแรงบริเวณนิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง
  • การได้รับสารพิษ: การสัมผัสกับสารเคมีบางชนิด เช่น สารตะกั่ว หรือสารปรอท อาจส่งผลเสียต่อระบบประสาทและทำให้เกิดอาการมือชาได้
  • การบาดเจ็บ: การบาดเจ็บที่คอ บ่า ไหล่ หรือแขน อาจส่งผลกระทบต่อเส้นประสาทและทำให้เกิดอาการมือชาได้

เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์:

ถึงแม้ว่าอาการมือชาส่วนใหญ่จะหายได้เอง แต่หากอาการดังต่อไปนี้เกิดขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม:

  • อาการชาเกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
  • อาการชาลามไปถึงส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เช่น แขน ขา หรือใบหน้า
  • มีอาการอ่อนแรง หรือสูญเสียความสามารถในการควบคุมมือ
  • มีอาการปวดร่วมด้วย
  • มีประวัติการบาดเจ็บที่คอ บ่า ไหล่ หรือแขน

ดูแลตัวเองเพื่อป้องกันอาการมือชา:

การดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการมือชาได้ ดังนี้:

  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงาน: หากต้องทำงานที่ต้องใช้มือซ้ำๆ เป็นเวลานาน ควรพักเป็นระยะๆ และยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
  • รักษาสุขภาพ: ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง: หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
  • พักผ่อนให้เพียงพอ: การพักผ่อนที่เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวและลดความเครียด ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการมือชาได้

บทสรุป:

อาการมือชาเป็นสัญญาณที่ร่างกายส่งมาเพื่อบอกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ การทำความเข้าใจถึงสาเหตุต่างๆ และการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม จะช่วยให้คุณรับมือกับอาการมือชาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหากอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่ถูกต้อง เพื่อให้คุณกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุขและปราศจากความกังวล