ปัสสาวะแบบไหนผิดปกติ

สังเกตสัญญาณเตือนจากปัสสาวะ: เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์?

ปัสสาวะเป็นสิ่งขับถ่ายที่สะท้อนสุขภาพของเราได้อย่างดี การสังเกตสี กลิ่น และลักษณะของปัสสาวะจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยปกติแล้วปัสสาวะจะมีสีเหลืองใส แต่หากพบความผิดปกติ เช่น สีที่เปลี่ยนไป กลิ่นที่ผิดปกติ หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพที่ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์

สีปัสสาวะที่บ่งบอกถึงความผิดปกติ:

• สีแดงหรือชมพู: อาจเกิดจากเลือดปนในปัสสาวะ (hematuria) ซึ่งมีสาเหตุได้หลายอย่าง ตั้งแต่อาการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ไปจนถึงโรคที่ร้ายแรงอย่างมะเร็ง แม้ในบางกรณีอาจเกิดจากการรับประทานอาหารบางชนิด เช่น บีทรูท หรือยาบางประเภท หากพบว่าปัสสาวะเป็นสีแดงหรือชมพูติดต่อกันหลายวัน ควรรีบไปพบแพทย์
• สีน้ำตาลเข้ม: อาจบ่งบอกถึงภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง ภาวะกล้ามเนื้อสลาย โรคตับ หรือโรคไต ควรปรึกษาแพทย์โดยด่วนหากปัสสาวะมีสีน้ำตาลเข้มและมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ
• สีส้ม: อาจเกิดจากการรับประทานยาบางชนิด วิตามิน หรือภาวะขาดน้ำ แต่หากสีส้มเข้มผิดปกติและมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ตัวเหลือง ตาเหลือง อาจเป็นสัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับตับหรือถุงน้ำดี
• สีขุ่น: อาจเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ หรือมีหนองปนในปัสสาวะ มักมีอาการปวดแสบขณะปัสสาวะร่วมด้วย
• สีเขียวหรือน้ำเงิน: พบน้อยมาก ส่วนใหญ่เกิดจากการรับประทานยาบางชนิด สีฟ้าบางชนิดที่ใช้ผสมอาหาร หรือภาวะทางพันธุกรรมที่หายาก

อาการอื่นๆ ที่ควรสังเกต:

นอกจากสีของปัสสาวะแล้ว อาการอื่นๆ ที่มักเกิดร่วมด้วยและบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพ ได้แก่

• ปัสสาวะมีกลิ่นแรงผิดปกติ: อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
• ปัสสาวะบ่อยหรือปัสสาวะน้อย: อาจบ่งชี้ถึงปัญหาเกี่ยวกับไตหรือกระเพาะปัสสาวะ
• ปวดแสบขณะปัสสาวะ: เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
• ตัวเหลือง ตาเหลือง อุจจาระซีด: ร่วมกับปัสสาวะสีเข้ม อาจบ่งชี้ถึงปัญหาเกี่ยวกับตับ

การสังเกตปัสสาวะเป็นประจำจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากพบความผิดปกติใดๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง อย่าปล่อยทิ้งไว้จนอาการรุนแรง เพราะอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว