ภูมิคุ้มกันแบบ passive คืออะไร

0 การดู

ภูมิคุ้มกันรับมาแบบธรรมชาติ (Passive Naturally Acquired Immunity) คือการได้รับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปโดยไม่ต้องสร้างเอง ตัวอย่างเช่น ทารกได้รับแอนติบอดีผ่านทางรกจากแม่ หรือได้รับผ่านน้ำนมเหลือง (Colostrum) ในช่วงแรกหลังคลอด ทำให้ทารกมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคบางชนิดในช่วงแรกของชีวิต โดยภูมิคุ้มกันนี้ไม่ได้อยู่ถาวร

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ภูมิคุ้มกันแบบพาสซีฟ: การยืมเกราะคุ้มกันชั่วคราว

ระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์เปรียบเสมือนกองทัพที่แข็งแกร่ง ปกป้องร่างกายจากการบุกรุกของเชื้อโรคต่างๆ วิธีการสร้างภูมิคุ้มกันนั้นแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก คือ ภูมิคุ้มกันแบบแอคทีฟ (Active Immunity) ที่ร่างกายสร้างขึ้นเอง และภูมิคุ้มกันแบบพาสซีฟ (Passive Immunity) ที่ได้รับมาจากภายนอก บทความนี้จะเจาะลึกถึงกลไกและความสำคัญของภูมิคุ้มกันแบบพาสซีฟ ซึ่งเป็นการ “ยืม” เกราะป้องกันชั่วคราวมาใช้

ภูมิคุ้มกันแบบพาสซีฟหมายถึงการได้รับแอนติบอดี (Antibodies) สำเร็จรูปจากแหล่งภายนอก ร่างกายไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างแอนติบอดีเหล่านี้ขึ้นมาเอง ดังนั้น จึงไม่มีกระบวนการจำ และภูมิคุ้มกันประเภทนี้จึงมีระยะเวลาจำกัด คล้ายกับการเช่าเกราะป้องกันชั่วคราว เมื่อหมดอายุการเช่า การป้องกันก็จะหายไปด้วย

เราสามารถแบ่งภูมิคุ้มกันแบบพาสซีฟออกเป็นสองประเภทหลัก คือ

1. ภูมิคุ้มกันรับมาแบบธรรมชาติ (Naturally Acquired Passive Immunity): นี่คือการได้รับแอนติบอดีจากแหล่งธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากแม่สู่ลูก ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการถ่ายทอดแอนติบอดีจากแม่สู่ทารกในครรภ์ผ่านทางรก และการได้รับแอนติบอดีจากน้ำนมเหลือง (Colostrum) ในช่วงแรกหลังคลอด น้ำนมเหลืองอุดมไปด้วยแอนติบอดี ไอจีเอ (IgA) ซึ่งช่วยปกป้องระบบทางเดินอาหารของทารกจากการติดเชื้อ แอนติบอดีเหล่านี้จะให้การปกป้องชั่วคราวแก่ทารก จนกว่าระบบภูมิคุ้มกันของทารกจะพัฒนาขึ้นมาเองได้อย่างสมบูรณ์ แต่การปกป้องนี้จะไม่ถาวร และจะค่อยๆ ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป

2. ภูมิคุ้มกันรับมาแบบประดิษฐ์ (Artificially Acquired Passive Immunity): การได้รับภูมิคุ้มกันแบบนี้เกิดขึ้นจากการได้รับแอนติบอดีที่ผลิตขึ้นมาจากภายนอก โดยปกติแล้วจะมาในรูปของเซรุ่ม (Serum) ซึ่งประกอบด้วยแอนติบอดีที่ได้จากการฉีดวัคซีนให้กับสัตว์ หรือจากผู้ที่เคยติดเชื้อและหายแล้ว การให้เซรุ่มนี้มักใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น การรักษาพิษงู พิษสัตว์มีพิษ หรือการติดเชื้อรุนแรงบางชนิด เช่น โรคพิษสุนัขบ้า เนื่องจากการสร้างภูมิคุ้มกันเองอาจช้าเกินไปที่จะป้องกันอันตราย เช่นเดียวกับภูมิคุ้มกันรับมาแบบธรรมชาติ ภูมิคุ้มกันแบบนี้ก็ไม่ถาวร และจะค่อยๆ ลดลงตามเวลา

สรุปแล้ว ภูมิคุ้มกันแบบพาสซีฟเป็นกลไกสำคัญในการปกป้องร่างกาย โดยเฉพาะในช่วงที่ระบบภูมิคุ้มกันยังไม่พัฒนาเต็มที่ หรือในกรณีฉุกเฉินที่ต้องการการป้องกันอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะไม่ถาวร แต่ก็มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มโอกาสในการเอาชนะโรค และเพิ่มอัตราการรอดชีวิต การเข้าใจกลไกของภูมิคุ้มกันแบบพาสซีฟจึงมีความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพ และการพัฒนาวิธีการรักษาโรคต่างๆ ต่อไป