มดลูกอักเสบมีอาการยังไง

2 การดู

ตัวอย่างข้อมูลแนะนำใหม่:

ปีกมดลูกอักเสบมักแสดงอาการด้วยอาการปวดหน่วงท้องน้อยคล้ายประจำเดือน, ตกขาวมีปริมาณมากผิดปกติและมีกลิ่นไม่พึงประสงค์, รวมถึงอาการเจ็บขณะปัสสาวะหรือมีไข้ต่ำๆ หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสมแต่เนิ่นๆ

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

มดลูกอักเสบ: อาการแฝงที่ไม่ควรมองข้าม

มดลูกอักเสบ (Endometritis) คือภาวะติดเชื้อที่เกิดขึ้นในเยื่อบุโพรงมดลูก อาการอาจแตกต่างกันไปตั้งแต่ไม่รุนแรงจนถึงรุนแรงถึงชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น การติดเชื้อลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ หรือภาวะมีบุตรยาก ดังนั้น การรู้จักอาการของมดลูกอักเสบจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

อาการของมดลูกอักเสบนั้นหลากหลายและขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการติดเชื้อ โดยทั่วไปอาจรวมถึง:

  • อาการปวดท้องน้อย: เป็นอาการที่พบได้บ่อย ลักษณะปวดอาจเป็นปวดตุ๊บๆ ปวดหน่วงๆ หรือปวดแบบเฉียบพลัน ความรุนแรงของอาการปวดอาจแตกต่างกันไป บางรายอาจปวดน้อยมากจนแทบไม่รู้สึก ในขณะที่บางรายอาจปวดรุนแรงจนทนไม่ไหว ตำแหน่งของอาการปวดมักอยู่บริเวณท้องน้อย อาจลามไปยังหลังส่วนล่างหรือขาหนีบได้

  • ตกขาวผิดปกติ: ปริมาณตกขาวอาจเพิ่มขึ้นอย่างมาก มีลักษณะผิดปกติ เช่น ตกขาวสีเหลืองเขียว มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวหรือเหม็นคาว หรือตกขาวข้นเหนียว อาการนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการติดเชื้อได้อย่างชัดเจน

  • ไข้และหนาวสั่น: การติดเชื้อทำให้ร่างกายมีการตอบสนองต่อการอักเสบ จึงอาจมีอาการไข้สูง หนาวสั่น และรู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก

  • อาการเจ็บขณะปัสสาวะ: เนื่องจากมดลูกอยู่ใกล้กับกระเพาะปัสสาวะ การอักเสบอาจลามไปยังกระเพาะปัสสาวะได้ ทำให้เกิดอาการปัสสาวะแสบร้อน ปัสสาวะบ่อย หรือปัสสาวะขัด

  • เลือดออกผิดปกติ: นอกเหนือจากประจำเดือน อาจมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ หรือมีเลือดออกกระปริบกระปรอยระหว่างรอบเดือน

  • ความอ่อนเพลียและเหนื่อยล้า: ร่างกายต้องต่อสู้กับการติดเชื้อ จึงทำให้เกิดความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า และรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง

สำคัญ: อาการเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่มีอาการดังกล่าวจะมีมดลูกอักเสบ อาการเหล่านี้สามารถเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ได้เช่นกัน หากคุณมีอาการเหล่านี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด แพทย์จะทำการตรวจร่างกาย ตรวจสอบประวัติทางการแพทย์ และอาจทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ หรือตรวจภายใน เพื่อยืนยันการวินิจฉัยและให้การรักษาที่เหมาะสม

การรักษาที่รวดเร็วและถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อน อย่าเพิกเฉยต่ออาการผิดปกติ การเข้ารับการตรวจรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้คุณได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพและลดโอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้

หมายเหตุ: บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ กรุณาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่ถูกต้อง