ปัสสาวะอักเสบห้ามทานอะไร

2 การดู

หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เผ็ดจัด หรือเปรี้ยวจัด เพราะอาจทำให้กระเพาะปัสสาวะระคายเคือง ควรลดปริมาณเนื้อแดง และอาหารแปรรูป เนื่องจากมีสารที่อาจส่งผลเสียต่อการอักเสบ ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอเพื่อช่วยขับแบคทีเรียออกจากร่างกาย

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ปัสสาวะอักเสบ: อาหารต้องห้ามและเคล็ดลับดูแลตัวเอง

อาการปวดแสบปวดร้อนเวลาปัสสาวะ บ่อยครั้งที่มาพร้อมกับความรู้สึกปวดหน่วงบริเวณท้องน้อย อาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย นอกจากการรักษาด้วยยาตามคำแนะนำของแพทย์แล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยบรรเทาอาการและเร่งการฟื้นตัว โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดที่อาจกระตุ้นให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะปัสสาวะ

บทความนี้จะเจาะลึกถึงอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อเป็นปัสสาวะอักเสบ พร้อมแนะนำเคล็ดลับการดูแลตัวเองเพื่อให้หายจากอาการได้เร็วขึ้น

อาหารต้องห้ามเมื่อเป็นปัสสาวะอักเสบ:

  • อาหารรสจัด: อาหารที่มีรสชาติจัดจ้าน ไม่ว่าจะเป็นเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด หรือเค็มจัด ล้วนแต่เป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะปัสสาวะเกิดการระคายเคือง ทำให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อนมากขึ้น ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทนี้ เช่น ส้มตำปูปลาร้า ยำต่างๆ แกงเผ็ด อาหารหมักดอง ขนมขบเคี้ยวรสจัด รวมถึงเครื่องดื่มที่มีรสเปรี้ยวจัด เช่น น้ำอัดลมบางชนิด น้ำผลไม้เข้มข้น
  • คาเฟอีน: เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง เป็นสารขับปัสสาวะ ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะปัสสาวะที่กำลังอักเสบได้ ควรลดหรือหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ในช่วงที่กำลังมีอาการ
  • แอลกอฮอล์: แอลกอฮอล์มีฤทธิ์ขับปัสสาวะเช่นเดียวกับคาเฟอีน และยังสามารถทำให้ร่างกายขาดน้ำ ซึ่งส่งผลเสียต่อการฟื้นตัวจากการติดเชื้อ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาดในช่วงที่เป็นปัสสาวะอักเสบ
  • เนื้อแดงและอาหารแปรรูป: แม้ว่าจะไม่มีข้อห้ามโดยตรง แต่การลดปริมาณเนื้อแดงและอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน เป็นแนวทางที่ดี เพราะอาหารเหล่านี้มักมีสารประกอบที่อาจส่งผลต่อการอักเสบในร่างกาย
  • น้ำตาล: การบริโภคน้ำตาลในปริมาณมากอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการต่อสู้กับการติดเชื้อ ควรจำกัดปริมาณน้ำตาลที่บริโภคในช่วงที่เป็นปัสสาวะอักเสบ

เคล็ดลับดูแลตัวเอง:

  • ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ: น้ำเปล่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการช่วยขับแบคทีเรียออกจากทางเดินปัสสาวะ ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือมากกว่านั้น
  • รักษาความสะอาด: ดูแลรักษาความสะอาดบริเวณจุดซ่อนเร้นให้ดี เช็ดทำความสะอาดจากด้านหน้าไปด้านหลังหลังการขับถ่าย
  • หลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะ: การกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ ควรเข้าห้องน้ำทันทีเมื่อรู้สึกปวด
  • ปรึกษาแพทย์: หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น มีไข้สูง ปวดท้องอย่างรุนแรง หรือมีเลือดปนในปัสสาวะ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินควบคู่ไปกับการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ จะช่วยให้คุณหายจากอาการปัสสาวะอักเสบได้เร็วขึ้น และกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขอีกครั้ง.