ระยะของแผลเบาหวาน มีกี่ระยะ

7 การดู

ระยะของแผลเบาหวานแบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 แผลมีลักษณะผิวหนังเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่ยังไม่ติดเชื้อ ระยะที่ 2 แผลลึกเห็นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง และระยะที่ 3 แผลลุกลามกว้าง มีภาวะติดเชื้ออย่างรุนแรง

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ภัยเงียบที่คืบคลาน: ทำความรู้จัก 3 ระยะของแผลเบาหวาน เพื่อการดูแลอย่างถูกต้อง

โรคเบาหวาน นอกจากจะส่งผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือดแล้ว ยังส่งผลต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงระบบภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอันตรายอย่างหนึ่ง คือ “แผลเบาหวาน” ซึ่งแตกต่างจากแผลทั่วไปอย่างสิ้นเชิง การเข้าใจระยะต่างๆ ของแผลเบาหวานจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการป้องกันและรักษา เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ

แผลเบาหวาน ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน แต่มีการพัฒนาเป็นขั้นตอน โดยทั่วไป แพทย์แบ่งระยะของแผลเบาหวานออกเป็น 3 ระยะหลัก ซึ่งแต่ละระยะมีความรุนแรงและวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน ดังนี้:

ระยะที่ 1: การเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง (Pre-ulcerative Stage)

ระยะนี้ถือเป็นระยะเริ่มต้น แผลยังไม่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงต่อการเกิดแผล อาการที่สังเกตได้อาจรวมถึง:

  • ผิวหนังแห้ง แตก เป็นขุย: ผิวหนังบริเวณเท้าและขาจะแห้งกร้านมากกว่าปกติ อาจมีรอยแตกเล็กๆ ซึ่งเป็นทางเข้าของเชื้อโรคได้ง่าย
  • ผิวหนังบวม แดง คัน: บริเวณที่เกิดการอักเสบอาจบวม แดง และคัน หากไม่รักษา อาจลุกลามกลายเป็นแผลได้
  • มีจุดสีเข้มหรือสีดำ: อาจพบจุดสีเข้มหรือสีดำเล็กๆ บนผิวหนัง ซึ่งบ่งบอกถึงการขาดเลือดไปเลี้ยงบริเวณนั้น
  • รู้สึกชาหรือมึนชา: การทำงานของเส้นประสาทเสื่อมลง ทำให้รู้สึกชาหรือมึนชาบริเวณเท้าและขา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยไม่ทันสังเกตเห็นแผลเล็กๆ ที่เกิดขึ้น

ในระยะนี้ การดูแลอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนัง การเลือกใช้รองเท้าที่เหมาะสม และการตรวจสอบเท้าอย่างสม่ำเสมอ สามารถช่วยป้องกันไม่ให้แผลลุกลามไปสู่ระยะที่รุนแรงกว่าได้

ระยะที่ 2: แผลตื้น (Superficial ulceration)

เมื่อการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังในระยะที่ 1 ไม่ได้รับการรักษา จะพัฒนาไปสู่ระยะที่ 2 ซึ่งเป็นระยะที่เริ่มมีแผลเกิดขึ้น ลักษณะของแผลจะเป็นแผลตื้น เห็นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง แผลอาจมีขนาดเล็ก แต่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงขึ้น อาการที่พบได้คือ:

  • แผลเปิดเล็กๆ บริเวณเท้าหรือขา: แผลจะมีลักษณะตื้นๆ อาจมีเลือดออกเล็กน้อย
  • มีอาการปวดแสบร้อน: บริเวณแผลอาจมีอาการปวดแสบร้อน โดยเฉพาะเมื่อสัมผัส
  • มีการอักเสบรอบๆ แผล: ผิวหนังรอบๆ แผลอาจมีอาการบวม แดง และอักเสบ

ในระยะนี้ จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เช่น การทำความสะอาดแผล การใช้ยาปฏิชีวนะ และการดูแลแผลอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการลุกลามไปสู่ระยะที่ 3

ระยะที่ 3: แผลลุกลาม ติดเชื้อรุนแรง (Deep ulceration/Infection)

ระยะที่ 3 เป็นระยะที่รุนแรงที่สุด แผลจะมีขนาดใหญ่ลึก ลุกลามไปยังเนื้อเยื่อชั้นลึก และมีภาวะติดเชื้ออย่างรุนแรง อาการที่พบได้คือ:

  • แผลลึกขนาดใหญ่ มีหนอง: แผลจะมีขนาดใหญ่ ลึก และมีหนอง อาจมีกลิ่นเหม็น
  • มีอาการบวม แดง ร้อน และปวดอย่างรุนแรง: บริเวณรอบๆ แผลจะมีอาการบวม แดง ร้อน และปวดอย่างรุนแรง
  • มีไข้ หนาวสั่น: ร่างกายอาจมีอาการไข้ หนาวสั่น บ่งบอกถึงการติดเชื้ออย่างรุนแรง
  • อาจมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ: เช่น ภาวะเนื้อเยื่อตาย การติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดขาหรือเสียชีวิตได้

ในระยะนี้ จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน อาจต้องได้รับการผ่าตัด การใช้ยาปฏิชีวนะชนิดเข้มข้น และการดูแลแผลอย่างใกล้ชิด เพื่อควบคุมการติดเชื้อและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

การเข้าใจระยะต่างๆ ของแผลเบาหวาน รวมถึงการตรวจเช็คเท้าอย่างสม่ำเสมอ การดูแลสุขภาพเท้าอย่างถูกต้อง และการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันไม่ให้แผลเบาหวานลุกลาม หากพบความผิดปกติใดๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยทันที เพื่อรับการรักษาและคำแนะนำที่ถูกต้อง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้ป่วยโรคเบาหวาน