วิธีดูว่าเป็นไข้เลือดออกไหม

0 การดู

แพทย์จะประเมินอาการโดยละเอียด สอบถามประวัติการป่วย วัดอุณหภูมิร่างกาย ตรวจหาจุดเลือดออกตามผิวหนังและเยื่อบุ ตรวจคลำหาตับโต และที่สำคัญคือ ตรวจเลือดเพื่อวัดค่าฮีมาโทคริต จำนวนเกล็ดเลือด และการทำงานของตับ เพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกอย่างแม่นยำ

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ไข้ขึ้นสูงใช่ไข้เลือดออก? วิธีสังเกตอาการเบื้องต้น และสิ่งที่ควรทำ

ไข้สูงเป็นสัญญาณเตือนภัยที่ร่างกายกำลังส่งมาบอกว่ากำลังเผชิญกับภาวะผิดปกติบางอย่าง หนึ่งในโรคที่มักถูกนึกถึงเมื่อมีอาการไข้สูง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน คือ “ไข้เลือดออก” โรคที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

บทความนี้จะช่วยให้คุณสังเกตอาการเบื้องต้นของไข้เลือดออก เพื่อให้สามารถรับมือได้อย่างถูกต้องและทันเวลา โดยเน้นย้ำว่า การวินิจฉัยโรคที่แม่นยำต้องอาศัยการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

สัญญาณเตือน: ไข้สูงที่ไม่ธรรมดา

ไข้เลือดออกมักเริ่มต้นด้วยอาการไข้สูงอย่างรวดเร็ว มักสูงเกิน 39 องศาเซลเซียส หรือ 102 องศาฟาเรนไฮต์ อาการไข้จะสูงลอยอยู่ประมาณ 2-7 วัน ซึ่งแตกต่างจากไข้หวัดทั่วไปที่มักมีอาการหวัดอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น น้ำมูกไหล ไอ จาม

สังเกตอาการอื่นๆ ร่วมด้วย:

  • ปวดศีรษะ: มักปวดบริเวณหน้าผากและรอบดวงตา
  • ปวดเมื่อยตามตัว: โดยเฉพาะบริเวณกล้ามเนื้อและกระดูก
  • คลื่นไส้ อาเจียน: อาจมีอาการเบื่ออาหารร่วมด้วย
  • ผื่นแดง: มักขึ้นตามลำตัว แขน ขา และอาจมีจุดเลือดออกเล็กๆ ตามผิวหนัง
  • เลือดออกง่าย: เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน หรือมีรอยช้ำตามตัวโดยไม่มีสาเหตุ

เมื่อไรที่ควรไปพบแพทย์?

หากคุณมีอาการไข้สูงร่วมกับอาการข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของไข้เลือดออก หรือเพิ่งเดินทางกลับมาจากพื้นที่เสี่ยง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยทันที

สิ่งที่แพทย์จะทำเพื่อวินิจฉัยไข้เลือดออก:

ดังที่กล่าวไว้ในบทนำ แพทย์จะทำการประเมินอาการอย่างละเอียดโดย:

  • สอบถามประวัติการป่วย: เกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้น ระยะเวลาที่ป่วย และประวัติการเดินทาง
  • วัดอุณหภูมิร่างกาย: เพื่อยืนยันว่ามีไข้สูงจริง
  • ตรวจหาจุดเลือดออกตามผิวหนังและเยื่อบุ: เพื่อประเมินความรุนแรงของโรค
  • ตรวจคลำหาตับโต: ตับโตเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติภายในร่างกาย
  • ตรวจเลือด: เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการวินิจฉัยไข้เลือดออก โดยจะมีการตรวจ:
    • ค่าฮีมาโทคริต (Hematocrit): วัดความเข้มข้นของเลือด หากค่าฮีมาโทคริตสูงขึ้น แสดงว่ามีการรั่วของพลาสมาออกจากหลอดเลือด ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของไข้เลือดออก
    • จำนวนเกล็ดเลือด (Platelet count): เกล็ดเลือดมีหน้าที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด ในผู้ป่วยไข้เลือดออก จำนวนเกล็ดเลือดมักจะต่ำลง ทำให้เลือดออกง่าย
    • การทำงานของตับ (Liver function test): เพื่อประเมินว่าตับได้รับผลกระทบจากโรคหรือไม่

สิ่งสำคัญที่ต้องจำ:

  • อย่าซื้อยามารับประทานเอง: การใช้ยาบางชนิด เช่น แอสไพริน หรือ ไอบูโพรเฟน อาจทำให้เลือดออกมากขึ้น
  • ดื่มน้ำมากๆ: เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ: เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว
  • ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด: หากอาการแย่ลง ควรรีบกลับไปพบแพทย์

สรุป:

ไข้เลือดออกเป็นโรคที่สามารถป้องกันและรักษาได้ การสังเกตอาการเบื้องต้นและเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์อย่างทันท่วงที จะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ ดังนั้น อย่าประมาทหากมีอาการไข้สูงผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างถูกต้อง

คำเตือน: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ หากมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์ทันที