อาการของไข้เลือดออก 3 ระยะ มีอะไรบ้าง

2 การดู

ไข้เลือดออกมี 3 ระยะสำคัญ: ไข้สูง, ช็อก/เลือดออก, และฟื้นตัว ระวังอาการทรุดลง เช่น ปวดท้องรุนแรง, อาเจียนไม่หยุด, หรือซึมลง หากสงสัยให้รีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ การดูแลตนเองสำคัญ ลดไข้ด้วยยาที่แพทย์สั่ง และพักผ่อนให้เพียงพอ

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ไข้เลือดออก 3 ระยะ: สัญญาณเตือนภัยที่ต้องรู้ เพื่อการรับมือที่ทันท่วงที

ไข้เลือดออก โรคระบาดที่มียุงลายเป็นพาหะ ยังคงเป็นภัยคุกคามที่สำคัญในประเทศไทย แม้ว่าเราจะคุ้นเคยกับชื่อโรคนี้ดี แต่ความเข้าใจในรายละเอียดของอาการในแต่ละระยะยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการสังเกตอาการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างใกล้ชิด จะช่วยให้เราสามารถเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้

ไข้เลือดออก แบ่งออกเป็น 3 ระยะหลักๆ ซึ่งแต่ละระยะก็จะมีอาการที่แตกต่างกันไป ดังนี้

ระยะที่ 1: ระยะไข้สูง (2-7 วันแรก)

ระยะนี้เป็นระยะเริ่มต้นของโรค ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ แต่มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน คือ:

  • ไข้สูงเฉียบพลัน: อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจสูงถึง 39-40 องศาเซลเซียส ซึ่งแตกต่างจากไข้หวัดทั่วไปที่อาจค่อยๆ สูงขึ้น
  • ปวดศีรษะ: มักปวดบริเวณหน้าผากและรอบดวงตา
  • ปวดเมื่อยตามตัว: ปวดกล้ามเนื้อและกระดูกอย่างรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณหลังและขา
  • เบื่ออาหาร: ไม่อยากรับประทานอาหาร หรือทานได้น้อยลง
  • หน้าแดง: ผิวหน้าอาจแดงกว่าปกติ
  • อาจมีจุดแดงเล็กๆ ตามผิวหนัง: จุดแดงนี้เกิดจากเลือดออกใต้ผิวหนัง แต่ไม่ได้มีในผู้ป่วยทุกคน

สิ่งที่ควรสังเกต: ในระยะนี้ การลดไข้ด้วยยาพาราเซตามอล (ตามขนาดที่เหมาะสม) และการเช็ดตัวเพื่อลดความร้อนเป็นสิ่งสำคัญ ห้ามใช้ยาแอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน เพราะจะทำให้เลือดออกง่ายขึ้น และควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ

ระยะที่ 2: ระยะวิกฤต (24-48 ชั่วโมง หลังไข้ลด)

ระยะนี้เป็นระยะที่สำคัญที่สุดและต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด แม้ว่าไข้จะลดลง แต่ไม่ได้หมายความว่าอาการดีขึ้นเสมอไป ในทางตรงกันข้าม อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าโรคกำลังเข้าสู่ระยะวิกฤต ซึ่งอาจมีอาการดังนี้:

  • ปวดท้องรุนแรง: เป็นอาการที่บ่งบอกถึงการรั่วของพลาสมาออกจากหลอดเลือด ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของไข้เลือดออก
  • อาเจียนไม่หยุด: อาเจียนบ่อยครั้งและอาจมีเลือดปน
  • เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล: บ่งบอกถึงภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
  • ถ่ายอุจจาระดำ: เป็นสัญญาณของเลือดออกในทางเดินอาหาร
  • ซึมลง อ่อนเพลีย: อาจแสดงถึงภาวะช็อกจากการสูญเสียน้ำในร่างกาย
  • หายใจลำบาก: อาจเกิดจากน้ำท่วมปอดเนื่องจากการรั่วของพลาสมา
  • มือเท้าเย็น: เป็นสัญญาณของภาวะช็อก

สิ่งที่ควรทำ: หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะระยะนี้เป็นระยะที่ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

ระยะที่ 3: ระยะฟื้นตัว (2-3 วัน)

ในระยะนี้ อาการของผู้ป่วยจะเริ่มดีขึ้น ไข้จะลดลงเป็นปกติ ความอยากอาหารจะกลับมา ระบบไหลเวียนโลหิตจะเริ่มกลับมาทำงานเป็นปกติ แต่ก็ยังต้องระมัดระวังและดูแลอย่างใกล้ชิด:

  • ปัสสาวะมากขึ้น: ร่างกายเริ่มขับน้ำส่วนเกินที่รั่วออกมาในระยะวิกฤต
  • อาการดีขึ้น: ผู้ป่วยจะรู้สึกสดชื่นขึ้น มีแรงมากขึ้น
  • อาจมีผื่นแดงตามผิวหนัง: เป็นอาการที่พบได้บ่อยในระยะฟื้นตัว

สิ่งที่ควรทำ: พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

สรุป:

การสังเกตอาการของไข้เลือดออกในแต่ละระยะอย่างใกล้ชิด เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการรับมือกับโรคนี้ การรู้ถึงสัญญาณเตือนภัย และการเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ หากสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการเข้าข่ายไข้เลือดออก ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที