อยู่ดีๆก็เจ็บคอ เกิดจากอะไร

อยู่ดีๆก็เจ็บคอ! สาเหตุที่คุณอาจคาดไม่ถึง

อาการเจ็บคอเป็นอาการที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน หลายคนอาจเคยประสบกับความรู้สึกแสบร้อน คัน หรือเจ็บแปล๊บๆที่ลำคอโดยไม่ทราบสาเหตุ แม้ว่าสาเหตุส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเล็กน้อยที่สามารถหายได้เอง แต่ก็มีบางสาเหตุที่ต้องการการดูแลรักษาจากแพทย์ ดังนั้น การทำความเข้าใจสาเหตุที่ทำให้เจ็บคอจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที

นอกเหนือจากสาเหตุทั่วไปอย่างการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ซึ่งมักมาพร้อมกับอาการอื่นๆ เช่น ไข้ ไอ น้ำมูก เรามาดูสาเหตุอื่นๆ ที่อาจทำให้คุณอยู่ดีๆก็เจ็บคอได้ ซึ่งอาจจะเกินความคาดหมายของคุณ:

1. การแพ้: นอกเหนือจากสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เช่น เกสรดอกไม้ ฝุ่นละออง ไรฝุ่น การแพ้ยา อาหารบางชนิด หรือแม้กระทั่งสารเคมีบางตัว ก็สามารถทำให้เกิดอาการอักเสบในลำคอและรู้สึกเจ็บได้ อาการแพ้อาจมาพร้อมกับอาการอื่นๆเช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล คันตา หรือหายใจลำบาก

2. การระคายเคืองจากสิ่งแวดล้อม: อากาศแห้ง ฝุ่นละออง ควันบุหรี่ ควันจากการเผาไหม้ และมลภาวะทางอากาศต่างๆ สามารถระคายเคืองเยื่อบุในลำคอทำให้เกิดอาการเจ็บได้ การทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นละอองมาก หรือการใช้สารเคมีบางชนิดโดยไม่สวมอุปกรณ์ป้องกัน ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองลำคอ

3. การใช้เสียงมากเกินไป: การตะโกน การร้องเพลง หรือการพูดคุยเป็นเวลานาน อาจทำให้กล้ามเนื้อและเยื่อบุในลำคออักเสบ ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บคอ โดยเฉพาะในผู้ที่ใช้เสียงในการทำงาน เช่น ครู นักร้อง หรือพนักงานโทรศัพท์

4. การกรดไหลย้อน: กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นมาที่หลอดอาหาร อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในหลอดอาหารและลำคอ ส่งผลให้รู้สึกเจ็บคอ แสบร้อน หรือมีอาการคล้ายกับอาการไอเรื้อรัง

5. โรคภูมิแพ้ในช่องปาก: โรคภูมิแพ้ในช่องปากเกิดจากการแพ้โปรตีนในอาหารบางชนิด อาการที่เกิดขึ้นอาจรวมถึงอาการคัน บวม หรือเจ็บในปากและลำคอ

6. การขาดน้ำ: การดื่มน้ำน้อยเกินไปทำให้เยื่อบุในลำคอแห้ง เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและการระคายเคือง ทำให้เจ็บคอได้ง่ายขึ้น

เมื่อใดควรไปพบแพทย์?

หากอาการเจ็บคอของคุณไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน มีไข้สูง มีอาการบวมที่ต่อมทอนซิล มีน้ำมูกสีเขียวหรือเหลือง หรือมีอาการหายใจลำบาก ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง แพทย์อาจทำการตรวจคอ ตรวจเลือด หรือตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและให้การรักษาที่เหมาะสม

การดูแลตัวเองเบื้องต้น เช่น การดื่มน้ำอุ่นมากๆ พักเสียง และใช้ยาแก้ปวดลดไข้ (หากจำเป็น) เป็นสิ่งสำคัญ แต่การไปพบแพทย์เมื่ออาการไม่ดีขึ้นเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้