อัตราการ CPR ต่อการเป่าปากเป็นเท่าใด
คำแนะนำใหม่:
ในกรณีที่ต้องช่วยชีวิตด้วยวิธี CPR ให้สลับเป่าลมเข้าปอด 2 ครั้งกับกดหน้าอก 15 ครั้งจนกว่าผู้หมดสติจะฟื้นหรือกว่าความช่วยเหลือทางการแพทย์จะมาถึง
CPR รูปแบบใหม่: กดหน้าอก 15 ครั้ง เป่าปาก 2 ครั้ง – เปลี่ยนแปลงอะไร และทำไมต้องเปลี่ยน?
หัวใจหยุดเต้นกะทันหันเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องการการช่วยเหลืออย่างรวดเร็วและถูกต้อง หนึ่งในวิธีช่วยชีวิตที่สำคัญคือการทำ CPR (Cardiopulmonary Resuscitation) หรือการปั๊มหัวใจผายปอดกู้ชีพ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ช่วยพยุงการไหลเวียนโลหิตและออกซิเจนไปยังอวัยวะสำคัญจนกว่าความช่วยเหลือทางการแพทย์จะมาถึง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แนวทางการทำ CPR ได้รับการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้การช่วยชีวิตมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ อัตราส่วนระหว่างการกดหน้าอกและการเป่าปาก ซึ่งแต่เดิมนิยมใช้อัตราส่วน 30:2 (กดหน้าอก 30 ครั้ง เป่าปาก 2 ครั้ง) แต่ล่าสุดมีคำแนะนำใหม่ที่เน้นอัตราส่วน 15:2 (กดหน้าอก 15 ครั้ง เป่าปาก 2 ครั้ง)
ทำไมถึงต้องเปลี่ยน?
การเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนนี้มีเหตุผลสำคัญหลายประการ:
- ลดการหยุดชะงักในการกดหน้าอก: การกดหน้าอกอย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มโอกาสรอดชีวิต การลดจำนวนครั้งในการกดหน้าอกก่อนที่จะเป่าปาก จะช่วยลดช่วงเวลาที่การกดหน้าอกหยุดชะงัก ซึ่งส่งผลให้การไหลเวียนโลหิตไปยังสมองและหัวใจดีขึ้น
- ลดความลังเลและเพิ่มความมั่นใจในการช่วยเหลือ: หลายคนอาจลังเลที่จะทำการเป่าปากให้กับคนแปลกหน้า ด้วยความกังวลเรื่องความปลอดภัยและสุขอนามัย การลดจำนวนครั้งในการเป่าปาก อาจช่วยลดความลังเลและทำให้ผู้คนกล้าที่จะเข้าไปช่วยเหลือมากขึ้น
- เน้นความสำคัญของการกดหน้าอก: การกดหน้าอกเป็นส่วนสำคัญที่สุดของการทำ CPR โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนาทีแรกหลังหัวใจหยุดเต้น การเน้นอัตราส่วนที่กดหน้าอกมากขึ้น จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าผู้ป่วยได้รับการกดหน้าอกที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
คำแนะนำใหม่นี้เหมาะกับใคร?
อัตราส่วน 15:2 นี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ได้รับการฝึกฝนการทำ CPR อย่างถูกต้องและแม่นยำ อย่างไรก็ตาม หากคุณไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นทางการ หรือไม่มั่นใจในเทคนิคการเป่าปาก การกดหน้าอกอย่างต่อเนื่อง (Hands-Only CPR) โดยไม่ต้องเป่าปากก็ยังคงเป็นทางเลือกที่ดี โดยเน้นการกดหน้าอกอย่างรวดเร็วและแรง ในอัตรา 100-120 ครั้งต่อนาที
ข้อควรจำ:
- การเรียนรู้การทำ CPR อย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ: ควรเข้ารับการฝึกอบรมจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อเรียนรู้เทคนิคที่ถูกต้องและปลอดภัย
- โทร 1669 หรือเบอร์ฉุกเฉินอื่นๆ ทันทีที่พบผู้หมดสติ: การขอความช่วยเหลือจากทีมแพทย์ฉุกเฉินเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
- ทำ CPR อย่างต่อเนื่องจนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง: อย่าหยุดการทำ CPR จนกว่าทีมแพทย์ฉุกเฉินจะมาถึง หรือจนกว่าผู้ป่วยจะฟื้นคืนสติ
สรุป:
การเปลี่ยนแปลงอัตราส่วน CPR เป็น 15:2 เป็นการปรับปรุงที่มุ่งเน้นให้การช่วยชีวิตมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยลดการหยุดชะงักในการกดหน้าอก และเน้นความสำคัญของการกดหน้าอกอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการเรียนรู้การทำ CPR อย่างถูกต้องและแม่นยำ เพื่อให้สามารถช่วยเหลือผู้ที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำ CPR ไม่ว่าด้วยอัตราส่วนใดก็ตาม สามารถสร้างความแตกต่างระหว่างความเป็นและความตายได้
#Cpr#อัตราส่วน#เป่าปากข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต