อาการของไข้เลือดออกขั้นวิกฤตเป็นอย่างไร

ไข้เลือดออกขั้นวิกฤต: สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

ไข้เลือดออกเป็นโรคที่แพร่ระบาดได้ง่าย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วอาการจะไม่รุนแรงและสามารถรักษาให้หายได้ แต่การระวังและเฝ้าระวังอาการไข้เลือดออกขั้นวิกฤตเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากพบความผิดปกติในระยะนี้ อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

หลายคนเข้าใจผิดว่าไข้เลือดออกจะต้องมีไข้สูงตลอดเวลา ความจริงแล้ว อาการสำคัญที่บ่งบอกว่าผู้ป่วยเข้าสู่ขั้นวิกฤต คือ ไข้ลดลงอย่างกะทันหันหลังจากมีไข้สูงติดต่อกัน 2-3 วัน ซึ่งตรงกันข้ามกับความเข้าใจทั่วไป การที่ไข้ลดลงนี้ไม่ได้หมายความว่าอาการดีขึ้น แต่กลับเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงภาวะร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้นภายในร่างกาย

เมื่อไข้ลดลง ผู้ป่วยจะเริ่มแสดงอาการที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ควบคู่กันไป:

• อ่อนเพลียอย่างรุนแรงและผิดปกติ: ความอ่อนเพลียจะรุนแรงกว่าในระยะแรกของโรคอย่างเห็นได้ชัด อาจมีอาการเหนื่อยล้าอย่างมาก แม้จะพักผ่อนเพียงเล็กน้อย
• มือและเท้าเย็น ซีด: เลือดไหลเวียนไม่ดี ทำให้ปลายมือและปลายเท้ามีอุณหภูมิต่ำกว่าปกติและซีด
• ชีพจรเร็วแต่เบา: หัวใจเต้นเร็วขึ้นเพื่อชดเชยการไหลเวียนเลือดที่ลดลง แต่แรงของชีพจรจะอ่อนลง
• ความดันโลหิตตก: เป็นสัญญาณของการช็อก ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกวิงเวียน หน้ามืด และอาจหมดสติได้
• เลือดออกตามไรฟันหรือจมูก: การแข็งตัวของเลือดผิดปกติทำให้เลือดออกง่าย อาจมีเลือดออกตามไรฟัน จมูก หรืออาจมีอาการเลือดออกในอวัยวะภายในได้
• ปวดท้องอย่างรุนแรง: อาจมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง
• อาเจียนเป็นเลือด: เป็นอาการรุนแรงที่บ่งบอกถึงภาวะเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร

หากพบอาการเหล่านี้ ควรพาผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที อย่ารอช้า เพราะการรักษาอย่างเร่งด่วนในขั้นนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการช่วยชีวิต การวินิจฉัยและรักษาที่รวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้

การป้องกันที่ดีที่สุดคือการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เช่น กำจัดภาชนะที่อาจมีน้ำขัง และใช้ยาป้องกันยุงกัด การเฝ้าระวังอาการและการรีบไปพบแพทย์ทันทีเมื่อพบความผิดปกติ จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากไข้เลือดออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ