อ้วกเขียวเกิดจากอะไร

2 การดู

อาเจียนสีเขียวเกิดขึ้นเมื่อมีน้ำดีผสมในอาเจียน ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการอุดตันในลำไส้ หากอาเจียนเป็นสีเขียวร่วมกับอาการขาดน้ำรุนแรง อาเจียนบ่อย น้ำหนักลด หรือรู้สึกไม่สบายมาก ควรรีบไปพบแพทย์

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

อาเจียนสีเขียว: สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

อาเจียนเป็นกลไกตามธรรมชาติของร่างกายในการขับสิ่งแปลกปลอมหรือสารที่เป็นอันตรายออกไป แต่สีของอาเจียนสามารถบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ได้ โดยเฉพาะอาเจียนสีเขียว ซึ่งมักสร้างความกังวลให้กับผู้พบเจอ บทความนี้จะพาไปสำรวจสาเหตุของอาเจียนสีเขียว พร้อมทั้งแนะนำวิธีการรับมือเบื้องต้น

สีเขียวในอาเจียนเกิดจากน้ำดี ซึ่งเป็นของเหลวที่ผลิตโดยตับเพื่อช่วยในการย่อยไขมัน ปกติน้ำดีจะถูกส่งไปยังลำไส้เล็กเพื่อทำหน้าที่ แต่หากมีการอุดตันในลำไส้ เช่นจากนิ่วในถุงน้ำดี ลำไส้อักเสบ หรือเนื้องอก น้ำดีอาจไหลย้อนกลับขึ้นมาปนกับอาเจียน ทำให้อาเจียนมีสีเขียว

นอกจากการอุดตันในลำไส้แล้ว อาเจียนสีเขียวยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ได้อีก เช่น

  • ภาวะอาหารเป็นพิษ: เชื้อแบคทีเรียหรือสารพิษบางชนิดอาจทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหารและลำไส้ นำไปสู่อาเจียนสีเขียวร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น ท้องเสีย ปวดท้อง และมีไข้
  • การติดเชื้อในทางเดินอาหาร: เช่น โรตาไวรัส นอโรไวรัส ซึ่งมักทำให้เกิดอาเจียนและท้องเสียรุนแรง โดยอาเจียนอาจมีสีเขียวได้
  • ภาวะกรดไหลย้อน: กรดในกระเพาะอาหารอาจไหลย้อนขึ้นไปยังหลอดอาหาร ทำให้เกิดการระคายเคืองและอาเจียน ซึ่งบางครั้งอาจมีสีเขียวปนมาด้วย
  • การรับประทานอาหารที่มีสีเขียว: เช่น ผักใบเขียว แม้ว่าจะเป็นสาเหตุที่พบได้น้อย แต่ก็อาจทำให้สีของอาเจียนเปลี่ยนไปได้

แม้ว่าอาเจียนสีเขียวบางครั้งอาจเกิดจากสาเหตุที่ไม่ร้ายแรง แต่หากอาเจียนสีเขียวเกิดขึ้นพร้อมกับอาการอื่นๆ เช่น ปวดท้องรุนแรง อาเจียนบ่อยและไม่หยุด มีไข้สูง ตัวเหลือง ตาเหลือง อุจจาระมีสีซีด หรือมีเลือดปนในอาเจียน ควรไปพบแพทย์ทันที เนื่องจากอาการเหล่านี้อาจบ่งชี้ถึงภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น ภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง การติดเชื้อในกระแสเลือด หรือภาวะลำไส้อุดตัน

การดูแลตัวเองเบื้องต้นเมื่อมีอาเจียนสีเขียว ได้แก่ การดื่มน้ำเปล่าหรือสารละลายเกลือแร่เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง และพักผ่อนให้เพียงพอ

อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องจำเป็นต้องได้รับการตรวจจากแพทย์ ดังนั้น หากมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับอาการ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม