โรคต่อมน้ําลาย อันตรายไหม

โรคต่อมน้ำลาย: อันตรายแค่ไหน? อย่ามองข้ามอาการเล็กๆ

โรคต่อมน้ำลาย หรือภาวะต่อมน้ำลายอักเสบ (Sialadenitis) อาจฟังดูไม่น่ากลัว แต่ความจริงแล้วขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ แม้ว่าในหลายกรณีจะเป็นเพียงอาการไม่ร้ายแรงที่หายได้เอง แต่ก็มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่ไม่ควรมองข้าม ดังนั้น การรู้จักอาการและเข้าใจความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

ต่อมน้ำลายมีหน้าที่ผลิตน้ำลาย ซึ่งช่วยในการย่อยอาหาร การพูด และการปกป้องช่องปากจากแบคทีเรีย เมื่อต่อมน้ำลายอักเสบ อาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อรา หรือแม้กระทั่งจากการอุดตันของท่อน้ำลาย อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ปวด บวม แดง ร้อนบริเวณต่อมน้ำลาย อาจมีไข้ร่วมด้วย และในบางรายอาจมีอาการเจ็บเมื่อกลืนอาหารหรือพูดคุย

อันตรายที่อาจเกิดขึ้นหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา:

• การติดเชื้อลุกลาม: หากการติดเชื้อไม่ถูกควบคุม อาจลุกลามไปยังบริเวณใกล้เคียง ทำให้เกิดการอักเสบรุนแรงขึ้น แพร่กระจายเข้ากระแสเลือด หรือเกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) ซึ่งเป็นภาวะอันตรายถึงชีวิตได้

• การเกิดฝี: การอักเสบที่รุนแรงอาจทำให้เกิดหนองสะสมในต่อมน้ำลาย กลายเป็นฝี ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์ อาจต้องมีการผ่าตัดระบายหนองเพื่อป้องกันการลุกลามของการติดเชื้อ

• การอุดตันเรื้อรัง: หากสาเหตุของการอักเสบเกิดจากการอุดตันของท่อน้ำลาย หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดการอุดตันเรื้อรัง ส่งผลให้ต่อมน้ำลายเสื่อมสภาพ ทำงานได้ไม่เต็มที่ และอาจมีอาการเรื้อรังได้

• โรคเรื้อรัง: ในบางกรณี โรคต่อมน้ำลายอาจเป็นอาการแสดงของโรคอื่นๆ ที่ร้ายแรงกว่า เช่น โรค autoimmune หรือมะเร็งต่อมน้ำลาย การตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงจึงมีความสำคัญ

เมื่อใดควรพบแพทย์:

ควรปรึกษาแพทย์หากมีอาการบวม ปวด หรือมีไข้ร่วมกับอาการบวมที่บริเวณต่อมน้ำลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน หรือมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น มีหนองไหลออกมา มีไข้สูง หรือมีอาการอื่นๆ ที่ผิดปกติร่วมด้วย

สรุป:

โรคต่อมน้ำลายไม่ใช่โรคที่น่ากลัวเสมอไป แต่การมองข้ามอาการเล็กๆ น้อยๆ อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ การรักษาที่เหมาะสมและทันท่วงทีเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนและรักษาสุขภาพช่องปากที่ดี หากคุณสงสัยว่าตนเองอาจมีอาการของโรคต่อมน้ำลาย โปรดปรึกษาแพทย์หรือทันตแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง อย่าปล่อยให้ความไม่รู้เป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ

หมายเหตุ: บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำแนะนำจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญได้ หากมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์เสมอ