G6PD กินยาแก้แพ้ได้ไหม

ผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD กินยาแก้แพ้ได้ไหม? ต้องระวัง!

ภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD (Glucose-6-Phosphate Dehydrogenase Deficiency) เป็นภาวะทางพันธุกรรมที่ร่างกายผลิตเอนไซม์ G6PD ได้น้อยกว่าปกติ เอนไซม์นี้มีบทบาทสำคัญในการปกป้องเซลล์เม็ดเลือดแดงจากสารอนุมูลอิสระ ผู้ที่มีภาวะนี้จึงมีความเสี่ยงที่เซลล์เม็ดเลือดแดงจะถูกทำลายได้ง่ายเมื่อได้รับสารบางชนิด รวมถึงยาบางประเภท ทำให้เกิดภาวะโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก

คำถามที่พบบ่อยคือ ผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD สามารถกินยาแก้แพ้ได้หรือไม่? คำตอบคือ กินได้ แต่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง และควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้ง เพราะยาแก้แพ้บางชนิดอาจปลอดภัย ในขณะที่บางชนิดอาจเป็นอันตรายได้

ยาแก้แพ้บางชนิดที่ ค่อนข้างปลอดภัย สำหรับผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD เช่น ยาที่มีส่วนประกอบของ Pseudoephedrine (ซูโดอีเฟดรีน) เช่น แม็กซิเฟด อย่างไรก็ตาม แม้จะค่อนข้างปลอดภัย ก็ควรใช้ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน 10-14 วัน และควรสังเกตอาการผิดปกติ เช่น อ่อนเพลีย ปัสสาวะสีเข้ม ตัวเหลือง ตาเหลือง หากพบอาการเหล่านี้ ควรหยุดยาและพบแพทย์ทันที

ส่วนยาแก้แพ้ในรูปแบบยาหยอดหรือพ่นจมูก แม้ส่วนใหญ่จะค่อนข้างปลอดภัย แต่หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานเกิน 10-14 วัน ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ และไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน

ยาแก้แพ้ที่ ห้ามใช้เด็ดขาด ในผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD คือ ยาที่มีส่วนประกอบของ Antazoline และ Diphenhydramine เนื่องจากยาเหล่านี้อาจกระตุ้นให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแตกได้

นอกจากนี้ การเลือกใช้ยาแก้แพ้ในผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD ควรพิจารณาถึงปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อายุ โรคประจำตัว และยาอื่นๆ ที่ใช้ร่วมด้วย ดังนั้น การปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาแก้แพ้ทุกชนิดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการรักษา

สรุป ผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD ควรระมัดระวังในการใช้ยาแก้แพ้เป็นอย่างยิ่ง ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกครั้ง และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น.