IgG กับ IgM ต่างกันยังไง

3 การดู

IgG และ IgM เป็นแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค IgM ปรากฏขึ้นเร็วกว่า IgG ในระยะแรกของการติดเชื้อ หากพบ IgM ในผลตรวจแสดงว่าอาจกำลังติดเชื้ออยู่ ส่วน IgG จะปรากฏขึ้นภายหลัง และแสดงถึงการมีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคนั้นๆ หากตรวจพบ IgG หมายความว่าเคยติดเชื้อมาก่อนแล้ว และอาจมีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคนั้นๆ

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

IgG กับ IgM: กุญแจไขปริศนาภูมิคุ้มกันในร่างกาย

แอนติบอดี (Antibody) หรือภูมิคุ้มกัน เป็นโปรตีนรูปตัว Y ที่สร้างขึ้นโดยเซลล์พลาสมาในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เพื่อทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอม เช่น แบคทีเรีย ไวรัส และสารพิษต่างๆ ภายในตระกูลแอนติบอดีขนาดใหญ่ มีหลายชนิด โดย IgG และ IgM เป็นสองชนิดหลักที่มีบทบาทสำคัญและแตกต่างกันอย่างชัดเจนในการตอบสนองต่อการติดเชื้อ

ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง IgG และ IgM ไม่ได้อยู่เพียงแค่เวลาที่ปรากฏตัวในกระแสเลือดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโครงสร้าง หน้าที่ และกลไกการทำงานที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง:

1. โครงสร้างและขนาด:

  • IgM: เป็นแอนติบอดีที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีโครงสร้างเป็น pentamer คือมีหน่วยย่อย 5 หน่วยเชื่อมต่อกัน ทำให้มีบริเวณจับกับแอนติเจน (Antigen) หรือสารแปลกปลอมได้มาก นี่จึงเป็นข้อได้เปรียบในการกำจัดเชื้อโรคในระยะเริ่มต้นของการติดเชื้อ ที่เชื้อโรคยังมีจำนวนไม่มากนัก
  • IgG: มีขนาดเล็กกว่า IgM เป็น monomer มีหน่วยย่อยเพียงหน่วยเดียว แต่มีประสิทธิภาพในการทำลายเชื้อโรคที่หลากหลาย และสามารถเคลื่อนที่ไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถข้ามรกได้ ทำให้ส่งต่อภูมิคุ้มกันให้กับทารก

2. เวลาการปรากฏตัว:

  • IgM: เป็นแอนติบอดีชนิดแรกที่ร่างกายสร้างขึ้นตอบสนองต่อการติดเชื้อ ปรากฏในกระแสเลือดภายใน 5-7 วันหลังการสัมผัสเชื้อโรค การตรวจพบ IgM จึงบ่งชี้ถึงการติดเชื้อในระยะเฉียบพลัน เป็นหลักฐานสำคัญในการวินิจฉัยโรคในระยะเริ่มต้น
  • IgG: ปรากฏขึ้นหลัง IgM โดยปกติจะตรวจพบได้หลังจากการติดเชื้อ 7-10 วัน หรืออาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ IgG มีความสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันระยะยาว การมีระดับ IgG สูงแสดงว่าร่างกายเคยสัมผัสกับเชื้อโรคนั้นมาก่อน และมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคชนิดนั้น

3. หน้าที่และกลไกการทำงาน:

  • IgM: เนื่องจากมีขนาดใหญ่ IgM จึงทำงานได้ดีที่สุดในกระแสเลือด มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นระบบเสริม (Complement system) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันที่ช่วยกำจัดเชื้อโรค IgM ยังมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเซลล์ B ให้สร้างแอนติบอดีชนิดอื่นๆ ต่อไป
  • IgG: สามารถกระตุ้นระบบเสริมได้เช่นกัน แต่มีประสิทธิภาพสูงในการทำหน้าที่อื่นๆ เช่น การ opsonization (เคลือบเชื้อโรคเพื่อให้เซลล์อื่นๆ สามารถจับและทำลายได้ง่ายขึ้น) การ neutralization (ยับยั้งการทำงานของเชื้อโรค) และ Antibody-dependent cell-mediated cytotoxicity (ADCC) ซึ่งเป็นกระบวนการที่เซลล์ภูมิคุ้มกันอื่นๆ เช่น เซลล์ NK สามารถทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อได้

สรุป:

ทั้ง IgG และ IgM มีบทบาทสำคัญในระบบภูมิคุ้มกัน แต่แตกต่างกันในด้านโครงสร้าง เวลาการปรากฏตัว และกลไกการทำงาน การตรวจวัดระดับ IgG และ IgM ในเลือดจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการวินิจฉัยโรคติดเชื้อ และประเมินระดับภูมิคุ้มกันของบุคคล โดย IgM บ่งชี้การติดเชื้อเฉียบพลัน ส่วน IgG บ่งชี้ถึงการติดเชื้อในอดีตและการมีภูมิคุ้มกัน การตีความผลตรวจควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ผลการวินิจฉัยที่ถูกต้องและแม่นยำที่สุด

หมายเหตุ: บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ IgG และ IgM ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ กรุณาปรึกษาแพทย์หากมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสุขภาพของคุณ