SLE ต้องตรวจเลือดอะไรบ้าง

6 การดู

ตัวอย่างข้อมูลแนะนำใหม่:

การตรวจทางห้องปฏิบัติการ:

  • การตรวจภูมิคุ้มกัน (ANA) - ตรวจหาแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นต่อเซลล์ของตัวเอง ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการเกิดโรคทางภูมิคุ้มกันอัตโนมัติ
  • การตรวจยีน - ช่วยในการวินิจฉัย SLE โดยเฉพาะในกรณีที่มีประวัติครอบครัวหรือมีอาการที่คล้ายคลึงกับโรคอื่นๆ
ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

SLE: ต้องตรวจเลือดอะไรบ้าง?

โรคลูปัส (Systemic Lupus Erythematosus: SLE) เป็นโรคทางภูมิคุ้มกันอัตโนมัติที่ร่างกายสร้างแอนติบอดีต่อเซลล์ของตัวเอง ทำให้เกิดการอักเสบและความเสียหายต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกาย อาการของ SLE มีความหลากหลายและอาจรุนแรงขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ได้รับผลกระทบ การวินิจฉัย SLE อาศัยการประเมินอาการทางคลินิก ร่วมกับผลการตรวจเลือด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการยืนยันการวินิจฉัยและติดตามผลการรักษา

การตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ใช้ในการวินิจฉัย SLE ได้แก่:

1. การตรวจหาแอนติบอดี (ANA):

  • การตรวจภูมิคุ้มกัน (ANA) – ตรวจหาแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นต่อเซลล์ของตัวเอง โดยทั่วไป ผู้ป่วย SLE จะมีผล ANA เป็นบวก แต่ ANA อาจพบในผู้ที่มีโรคอื่นๆ เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือโรคติดเชื้อ ดังนั้น การตรวจ ANA จึงไม่เพียงพอต่อการวินิจฉัย SLE
  • การตรวจแอนติบอดีเฉพาะชนิด (Specific autoantibodies) – เช่น แอนติบอดีต่อ DNA นิวเคลียร์ (dsDNA), แอนติบอดีต่อโปรตีน Smith (Sm), แอนติบอดีต่อ phospholipid (Antiphospholipid antibody) เป็นต้น การตรวจแอนติบอดีเฉพาะชนิดเหล่านี้มีประโยชน์ในการวินิจฉัย SLE โดยเฉพาะเมื่อผล ANA เป็นบวก

2. การตรวจยีน:

  • การตรวจยีน – ช่วยในการวินิจฉัย SLE โดยเฉพาะในกรณีที่มีประวัติครอบครัวหรือมีอาการที่คล้ายคลึงกับโรคอื่นๆ ยีนบางชนิด เช่น ยีน HLA-DR2, ยีน STAT4 มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการเกิด SLE

3. การตรวจอื่นๆ:

  • การตรวจเลือดทั่วไป (CBC) – ตรวจหาความผิดปกติของเม็ดเลือด เช่น เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือด
  • การตรวจระดับโปรตีนในเลือด (Protein electrophoresis) – ตรวจหาการเปลี่ยนแปลงในโปรตีนที่ร่างกายสร้างขึ้น
  • การตรวจระดับคอมพลีเมนต์ (Complement levels) – ตรวจหาระดับของโปรตีนคอมพลีเมนต์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
  • การตรวจระดับสารเคมีในเลือด (Chemistry panel) – ตรวจหาความผิดปกติของไต ตับ และอวัยวะอื่นๆ
  • การตรวจทางด้านการแพทย์อื่นๆ – เช่น การตรวจปัสสาวะ การตรวจน้ำไขสันหลัง การเอกซเรย์ การตรวจ CT Scan, MRI เป็นต้น เพื่อประเมินความรุนแรงและหาสาเหตุของโรค

หมายเหตุ: การตรวจทางห้องปฏิบัติการเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการวินิจฉัย SLE แพทย์จะต้องพิจารณาอาการทางคลินิก ประวัติครอบครัว และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ร่วมกันในการวินิจฉัยโรค

การดูแลสุขภาพ:

ผู้ป่วย SLE ต้องได้รับการดูแลและรักษาอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยแพทย์จะพิจารณาเลือกวิธีการรักษาให้เหมาะสมกับอาการและความรุนแรงของโรค การรักษา SLE มุ่งเน้นไปที่การควบคุมอาการ ลดการอักเสบ ป้องกันความเสียหายของอวัยวะ และปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

การรู้จัก SLE และการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจเกี่ยวกับโรคของตัวเอง และร่วมมือกับแพทย์ในการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ