Stroke เฝ้าระวังอะไร

2 การดู

ดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดอย่างสม่ำเสมอ เน้นรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง น้ำตาลสูง และเค็มจัด ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน ควบคุมน้ำหนัก เลิกบุหรี่ และตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อตรวจวัดความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

เฝ้าระวัง “ภัยเงียบ” โรคหลอดเลือดสมอง: รู้ทันสัญญาณ เตือนภัยร้าย ปกป้องชีวิต

โรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke คือภาวะวิกฤตที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยง ทำให้เซลล์สมองเสียหายอย่างรวดเร็ว หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่ความพิการ ถาวร หรือร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ แม้ว่าเราจะไม่สามารถป้องกันโรคหลอดเลือดสมองได้ 100% แต่การเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงและสัญญาณเตือนภัย จะช่วยให้เราลดโอกาสการเกิดโรค และรับการรักษาได้ทันท่วงที เพิ่มโอกาสรอดชีวิตและฟื้นตัว

เฝ้าระวังอะไรบ้าง? ปัจจัยเสี่ยงที่คุณต้องรู้:

ปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ ปัจจัยที่ควบคุมได้ และปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้:

  • ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้:

    • อายุ: ยิ่งอายุมากขึ้น ความเสี่ยงก็จะสูงขึ้น
    • เพศ: ผู้ชายมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้หญิงเล็กน้อย
    • ประวัติครอบครัว: หากมีคนในครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ความเสี่ยงของคุณก็จะเพิ่มขึ้น
    • เชื้อชาติ: บางเชื้อชาติมีความเสี่ยงสูงกว่าเชื้อชาติอื่น
  • ปัจจัยที่ควบคุมได้: นี่คือส่วนที่เราสามารถลงมือทำเพื่อลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ:

    • ความดันโลหิตสูง: ภาวะความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับต้นๆ ที่นำไปสู่โรคหลอดเลือดสมอง การควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจึงสำคัญอย่างยิ่ง
    • โรคเบาหวาน: ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองสูงกว่าคนทั่วไป การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเข้มงวดจึงจำเป็น
    • ภาวะไขมันในเลือดสูง: ไขมันสะสมในหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบตัน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
    • โรคหัวใจ: โดยเฉพาะภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Atrial Fibrillation) เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดในหัวใจ ซึ่งอาจหลุดไปอุดตันในสมอง
    • การสูบบุหรี่: สารพิษในบุหรี่ทำลายหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและตีบตัน
    • การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป: การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูงและภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
    • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ: ผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับมีความเสี่ยงสูงต่อความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง
    • การไม่ออกกำลังกาย: การขาดการออกกำลังกาย ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง และภาวะไขมันในเลือดสูง

สัญญาณเตือนภัยที่ต้องสังเกต:

การจดจำสัญญาณเตือนภัยของโรคหลอดเลือดสมองเป็นสิ่งสำคัญ เพราะ “เวลาคือสมอง” ยิ่งได้รับการรักษาเร็วเท่าไหร่ โอกาสที่สมองจะเสียหายถาวรก็จะยิ่งน้อยลง สัญญาณเตือนภัยที่สำคัญ ได้แก่:

  • F.A.S.T. เป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้จดจำอาการของโรคหลอดเลือดสมองได้:
    • Face (ใบหน้า): ใบหน้าข้างหนึ่งตก ปากเบี้ยว
    • Arm (แขน): แขนข้างหนึ่งอ่อนแรง ยกไม่ขึ้น
    • Speech (คำพูด): พูดไม่ชัด พูดลำบาก สื่อสารไม่เข้าใจ
    • Time (เวลา): หากพบอาการเหล่านี้ แม้เพียงอาการเดียว ให้รีบไปโรงพยาบาลทันที
  • อาการอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น:
    • ปวดศีรษะรุนแรงเฉียบพลัน โดยไม่ทราบสาเหตุ
    • มองเห็นภาพซ้อน หรือมองไม่เห็น
    • เวียนศีรษะ บ้านหมุน ทรงตัวลำบาก
    • ชา หรืออ่อนแรงที่ใบหน้า แขน หรือขา (โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้างเดียวของร่างกาย)

ดูแลตัวเองอย่างไรเพื่อลดความเสี่ยง:

  • ดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดอย่างสม่ำเสมอ:
    • รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ: เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี โปรตีนไม่ติดมัน และไขมันดี หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง น้ำตาลสูง และเค็มจัด
    • ออกกำลังกายเป็นประจำ: อย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที (เช่น เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน)
    • ควบคุมน้ำหนัก: รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
    • เลิกบุหรี่: บุหรี่เป็นอันตรายต่อหลอดเลือดอย่างมาก
    • จำกัดปริมาณแอลกอฮอล์: หากดื่มแอลกอฮอล์ ควรดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ
    • จัดการความเครียด: หาทางผ่อนคลายความเครียด เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือกิจกรรมที่ชอบ
  • ตรวจสุขภาพประจำปี: ตรวจวัดความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด ระดับไขมันในเลือด และตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ตามคำแนะนำของแพทย์
  • ปรึกษาแพทย์: หากมีปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการดูแลสุขภาพและรับการรักษาที่เหมาะสม

สรุป:

การเฝ้าระวังโรคหลอดเลือดสมอง คือการใส่ใจสุขภาพและรู้จักร่างกายของตนเอง การตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยง สังเกตสัญญาณเตือนภัย และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยง จะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยง “ภัยเงียบ” นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว อย่ารอให้สายเกินไป เริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้!