ทำไมมือโดนพริกแล้วแสบ

2 การดู

เมื่อเราสัมผัสพริก แคปไซซินจะไปกระตุ้นให้ตัวรับความเจ็บปวดส่งสัญญาณไปยังสมอง ซึ่งจะตีความว่าเป็นความแสบร้อน จริงๆ แล้วแคปไซซินไม่ใช่ความร้อน แต่สมองเราคิดว่าเป็นความร้อน ทำให้เรารู้สึกแสบร้อนเวลาสัมผัสพริก

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ความจริงเบื้องหลังความแสบร้อนจากพริก: เมื่อสมองเข้าใจผิด

ความแสบร้อนที่เราสัมผัสได้เมื่อมือไปโดนพริกนั้น ไม่ใช่ความร้อนในเชิงฟิสิกส์อย่างที่เราเข้าใจกันทั่วไป มันเป็นกลไกที่ซับซ้อนกว่านั้น ความรู้สึกเผาไหม้ที่คุ้นเคยนี้เกิดจากสารเคมีชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า แคปไซซิน (Capsaicin) ซึ่งเป็นสารประกอบสำคัญที่พบในพริกหลายชนิด และความเข้มข้นของแคปไซซินนี้เองที่กำหนดระดับความเผ็ดร้อนของพริกแต่ละชนิด

เมื่อเราสัมผัสพริก โมเลกุลของแคปไซซินจะทำปฏิกิริยากับตัวรับความรู้สึกเจ็บปวดชนิดหนึ่งที่เรียกว่า TRPV1 (Transient Receptor Potential Vanilloid 1) ตัวรับชนิดนี้โดยปกติแล้วจะตอบสนองต่อความร้อนจัด แต่แคปไซซินมีรูปร่างโมเลกุลที่สามารถจับกับ TRPV1 ได้อย่างลงตัว คล้ายกับกุญแจที่เข้ากับแม่กุญแจ การจับกับตัวรับนี้จะกระตุ้นให้ TRPV1 เปลี่ยนรูปร่าง ส่งผลให้เกิดการไหลเข้าของไอออนของแคลเซียมและโซเดียมเข้าไปในเซลล์ประสาทรับความรู้สึกเจ็บปวด

การไหลเข้าของไอออนเหล่านี้จะสร้างสัญญาณไฟฟ้าที่เดินทางไปตามเส้นประสาทมายังสมอง และสมองของเราก็จะตีความสัญญาณนี้ว่าเป็นความรู้สึก “ร้อน” หรือ “แสบ” แต่ความจริงแล้ว แคปไซซินไม่ได้ทำให้เกิดความร้อนขึ้นในทางกายภาพ ไม่มีการเพิ่มอุณหภูมิ แต่เป็นการหลอกลวงระบบประสาทของเราให้คิดว่าเกิดความร้อนขึ้นต่างหาก

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงรู้สึกแสบร้อนเมื่อมือสัมผัสพริก และความเผ็ดร้อนที่แตกต่างกันไปในแต่ละชนิดของพริกก็ขึ้นอยู่กับปริมาณของแคปไซซินที่มีอยู่ในนั้น ยิ่งมีแคปไซซินมากเท่าไหร่ ความรู้สึกแสบร้อนก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น นี่จึงเป็นกลไกที่น่าทึ่งของธรรมชาติที่ใช้สารเคมีในการป้องกันตัวเองจากสัตว์กินพืช และทำให้เรามีประสบการณ์การรับรสที่หลากหลายและน่าตื่นเต้น แต่ก็ต้องระวังในการสัมผัสพริกโดยตรง โดยเฉพาะพริกที่มีความเผ็ดร้อนสูง เพราะความแสบร้อนนั้นอาจรุนแรงจนทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้

บทความนี้ได้อธิบายกลไกของความรู้สึกแสบร้อนจากพริกในเชิงลึกกว่าเพียงแค่การกล่าวถึงแคปไซซิน โดยอธิบายถึงตัวรับ TRPV1 และการทำงานของระบบประสาท เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจกลไกทางชีววิทยาที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน ซึ่งแตกต่างจากบทความอื่นๆที่อาจกล่าวถึงเพียงผิวเผิน