ทำไมดูโทรศัพท์แล้วปวดตา

จ้องจอมือถือแล้วปวดตา: เบื้องหลังความเมื่อยล้าที่มากกว่าแค่แสงสีฟ้า

ยุคดิจิทัลทำให้สมาร์ทโฟนกลายเป็นอวัยวะที่ 33 ของใครหลายคน การจ้องมองหน้าจอเล็กๆ เป็นเวลานานๆ ไม่ว่าจะทำงาน เล่นเกม หรือท่องโซเชียลมีเดีย ล้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพดวงตาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาการปวดตา ตาแห้ง มองเห็นภาพไม่ชัด กลายเป็นเรื่องปกติที่หลายคนมองข้าม แต่เบื้องหลังความเมื่อยล้านั้นซับซ้อนกว่าแค่แสงสีฟ้า

แน่นอนว่าแสงสีฟ้าจากหน้าจอมีส่วนสำคัญในการรบกวนการผลิตเมลาโทนิน ฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับ ส่งผลให้เกิดอาการนอนไม่หลับ และกระทบต่อสุขภาพโดยรวม แต่ปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้ปวดตาก็มีไม่น้อย เช่น

• การเพ่งมองระยะใกล้เป็นเวลานาน: กล้ามเนื้อตาต้องทำงานหนักในการปรับโฟกัส ทำให้เกิดอาการเมื่อยล้า และปวดตาได้
• การกระพริบตาน้อยลง: ขณะจดจ่ออยู่กับหน้าจอ เรามักกระพริบตาน้อยลง ทำให้ตาแห้ง ระคายเคือง และเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
• แสงสะท้อนและความคมชัดของหน้าจอ: แสงสะท้อนจากหน้าจอ รวมถึงความคมชัดที่ไม่เหมาะสม สามารถทำให้ตาต้องทำงานหนักขึ้น และเกิดอาการปวดตาได้
• ท่าทางการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง: การก้มมองโทรศัพท์เป็นเวลานาน ส่งผลต่อกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ และอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวร่วมด้วย

ดังนั้น การดูแลสุขภาพดวงตาจึงไม่ใช่แค่การกรองแสงสีฟ้า แต่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานสมาร์ทโฟนด้วย เช่น

• พักสายตาเป็นประจำ: ใช้กฎ 20-20-20 คือทุกๆ 20 นาที ให้มองไปยังวัตถุที่อยู่ห่างออกไป 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที
• ปรับความสว่างหน้าจอให้เหมาะสม: ไม่สว่างหรือมืดจนเกินไป และควรปรับตามสภาพแสงแวดล้อม
• รักษาระยะห่างระหว่างสายตากับหน้าจอ: ควรอยู่ห่างอย่างน้อย 30 เซนติเมตร
• กระพริบตาบ่อยๆ: เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของดวงตา
• หลีกเลี่ยงการใช้สมาร์ทโฟนก่อนนอน: เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ และไม่รบกวนการผลิตเมลาโทนิน
• ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ: เพื่อตรวจหาความผิดปกติของดวงตาตั้งแต่เนิ่นๆ

การดูแลสุขภาพดวงตาเป็นสิ่งสำคัญ อย่าปล่อยให้อาการปวดตาเล็กๆ กลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนตั้งแต่วันนี้ เพื่อสุขภาพดวงตาที่ดีในระยะยาว