ลูกหายใจแบบไหนอันตราย

ลมหายใจของลูกน้อย… สัญญาณเตือนที่พ่อแม่ต้องรู้

เสียงหายใจของลูกน้อย เป็นเสมือนบทเพลงกล่อมนอนที่แสนไพเราะสำหรับพ่อแม่ แต่หากเสียงเพลงนั้นเปลี่ยนไป กลายเป็นเสียงหอบเหนื่อย เสียงหวีด หรือผิดปกติไปจากเดิม นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงที่ไม่ควรมองข้าม บทความนี้จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่เรียนรู้การสังเกตการหายใจของลูกน้อย และรู้จักแยกแยะว่าลมหายใจแบบใดที่ควรได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน

หายใจเร็วผิดปกติ สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

เด็กทารกมีอัตราการหายใจที่แตกต่างจากผู้ใหญ่ โดยปกติแล้วทารกแรกเกิดถึงอายุ 2 เดือน จะหายใจประมาณ 30-60 ครั้งต่อนาที อายุ 2-12 เดือน จะหายใจประมาณ 25-40 ครั้งต่อนาที แต่หากพบว่าลูกน้อยหายใจเร็วกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด เช่น มากกว่า 60 ครั้งต่อนาทีในทารกแรกเกิด หรือมากกว่า 40 ครั้งต่อนาทีในเด็กเล็ก ควรตื่นตัวและสังเกตอาการอื่นๆประกอบ เพราะอาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพหลายประการ ได้แก่

• ภาวะติดเชื้อทางเดินหายใจ: เช่น ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม หลอดลมอักเสบ ซึ่งล้วนแต่ส่งผลให้ลูกน้อยหายใจเร็วและมีอาการอื่นๆร่วมด้วย เช่น ไอ มีเสมหะ ไข้สูง ซึมลง เบื่ออาหาร
• ภาวะขาดน้ำ: การขาดน้ำรุนแรงจะส่งผลต่อระบบการทำงานของร่างกาย รวมถึงระบบทางเดินหายใจ ทำให้ลูกน้อยหายใจเร็วและอาจมีอาการปากแห้ง ตาโหล ผิวแห้ง ร้องไห้ไม่มีน้ำตา
• ภาวะหัวใจผิดปกติ: บางครั้ง การหายใจเร็วอาจเป็นสัญญาณของโรคหัวใจ เช่น ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจ
• ภาวะอื่นๆ: เช่น โรคหอบหืด โรคปอด หรืออาการแพ้ ก็อาจทำให้ลูกน้อยหายใจเร็วได้เช่นกัน

อาการอื่นๆ ที่ควรสังเกตควบคู่กับการหายใจเร็ว

นอกจากอัตราการหายใจแล้ว ยังมีอาการอื่นๆที่ควรสังเกตประกอบเพื่อประเมินความรุนแรงของอาการ เช่น

• สีผิวซีดหรือเขียวคล้ำ: บ่งบอกถึงการขาดออกซิเจน ซึ่งเป็นภาวะอันตราย
• ซึมลง ไม่ค่อยมีปฏิกิริยาตอบสนอง: อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อรุนแรงหรือภาวะขาดน้ำ
• ร้องไห้เสียงแหบ หรือร้องไห้ไม่ออก: อาจเป็นสัญญาณของการอักเสบในระบบทางเดินหายใจ
• มีไข้สูง: บ่งบอกถึงการติดเชื้อ

อย่าชะล่าใจ! รีบพาไปพบแพทย์ทันที

หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นว่าลูกน้อยหายใจเร็วผิดปกติ และมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย อย่ารอช้า ควรพาลูกน้อยไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้อง การรักษาที่รวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนและส่งผลดีต่อสุขภาพของลูกน้อยในระยะยาว

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ หากมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของลูกน้อย ควรปรึกษาแพทย์เสมอ