อุณหภูมิเท่าไหร่ถึงถือว่าร้อน

0 การดู

เมื่ออุณหภูมิสูงถึง 35 องศาเซลเซียสขึ้นไป ถือว่าอากาศร้อน และหากแตะ 40 องศาเซลเซียส อากาศจะร้อนจัด ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งและดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

อุณหภูมิเท่าไหร่… ถึงเรียกว่า “ร้อน”? สัญญาณเตือนที่คุณต้องรู้ก่อนสายเกินไป

ประเทศไทยขึ้นชื่อเรื่องอากาศร้อนอบอ้าว แต่เคยสงสัยไหมว่า “ร้อน” ในความรู้สึกของเรานั้น แท้จริงแล้วมีตัวเลขกำกับอยู่ที่เท่าไหร่? หลายคนอาจคิดว่าแค่รู้สึกเหงื่อออกเยอะก็แปลว่าร้อนแล้ว แต่จริงๆ แล้ว อุณหภูมิมีผลต่อร่างกายของเรามากกว่าที่เราคิด และการรู้ระดับความร้อนที่ “อันตราย” จะช่วยให้เราเตรียมตัวรับมือและป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจตามมาได้

บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเรื่องอุณหภูมิร้อนอย่างละเอียด เจาะลึกถึงระดับความร้อนที่ส่งผลต่อสุขภาพ และวิธีรับมือกับอากาศร้อนอย่างถูกต้อง เพื่อให้คุณและคนที่คุณรักปลอดภัยจากอันตรายที่แฝงมากับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป

จาก “สบาย” สู่ “ร้อน”: จุดเปลี่ยนอยู่ที่ตรงไหน?

อุณหภูมิที่ร่างกายเรารู้สึกสบายนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สภาพร่างกาย กิจกรรมที่ทำ และความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้ว อุณหภูมิที่ถือว่า “สบาย” สำหรับคนส่วนใหญ่มักจะอยู่ที่ช่วง 25-28 องศาเซลเซียส แต่เมื่ออุณหภูมิสูงเกินกว่านี้ เราจะเริ่มรู้สึกถึงความร้อนที่เพิ่มขึ้น

  • 30-34 องศาเซลเซียส: อากาศเริ่มร้อนอบอ้าว ร่างกายจะเริ่มขับเหงื่อออกมาเพื่อระบายความร้อน ควรดื่มน้ำให้มากขึ้นและหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ใช้แรงมาก
  • 35-39 องศาเซลเซียส: อากาศร้อนถึงร้อนจัด ร่างกายจะขับเหงื่อออกมามากขึ้น อาจรู้สึกอ่อนเพลีย หงุดหงิดง่าย ควรหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจัดเป็นเวลานาน และหาที่ร่มเย็นพักผ่อน
  • 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป: อากาศร้อนจัดถึงอันตราย ร่างกายเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ (Dehydration) และโรคลมแดด (Heatstroke) ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งโดยเด็ดขาด และดูแลตัวเองเป็นพิเศษ

อันตรายที่มาพร้อมกับ “ความร้อน”: ไม่ใช่แค่รู้สึกไม่สบาย

ความร้อนที่สูงเกินไป ไม่ได้ส่งผลแค่ความรู้สึกไม่สบายตัวเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้ หากไม่ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที ตัวอย่างเช่น:

  • ตะคริวจากความร้อน (Heat Cramps): เกิดจากการสูญเสียเกลือแร่ในร่างกายผ่านทางเหงื่อ
  • อ่อนเพลียจากความร้อน (Heat Exhaustion): อาการอ่อนเพลีย วิงเวียน คลื่นไส้ อาเจียน เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนได้ทัน
  • ลมแดด (Heatstroke): ภาวะที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ อุณหภูมิร่างกายสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส เป็นอันตรายถึงชีวิต

ใครบ้างที่ต้องระวังเป็นพิเศษ?

  • เด็กเล็กและทารก: ร่างกายยังไม่สามารถปรับตัวกับอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงได้ดีเท่าผู้ใหญ่
  • ผู้สูงอายุ: ความสามารถในการระบายความร้อนของร่างกายลดลง
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว: เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน
  • นักกีฬาและผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง: เสี่ยงต่อการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย

รับมืออากาศร้อนอย่างไรให้ “รอด”: เคล็ดลับง่ายๆ ที่ทำได้ทุกคน

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน หรือมากกว่านั้นหากทำกิจกรรมที่ต้องเสียเหงื่อมาก
  • สวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี: เลือกเสื้อผ้าสีอ่อนและหลวม เพื่อช่วยระบายความร้อน
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายกลางแดด: หากจำเป็นต้องออกกำลังกาย ควรเลือกช่วงเวลาเช้าตรู่หรือเย็น
  • อยู่ในที่ร่มเย็น: หาที่ร่มพักผ่อน หรืออยู่ในห้องปรับอากาศ
  • อาบน้ำเย็น: ช่วยลดอุณหภูมิร่างกายได้อย่างรวดเร็ว
  • สังเกตอาการผิดปกติ: หากรู้สึกวิงเวียน คลื่นไส้ อ่อนเพลีย ให้รีบหยุดพักและดื่มน้ำ หากอาการไม่ดีขึ้น ให้รีบไปพบแพทย์

สรุป:

การเข้าใจถึงระดับความร้อนที่ส่งผลต่อสุขภาพ และรู้วิธีรับมือกับอากาศร้อนอย่างถูกต้อง จะช่วยให้เราสามารถป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ อุณหภูมิ 35 องศาเซลเซียสขึ้นไป ถือว่าอากาศร้อน ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ หากอุณหภูมิสูงถึง 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป ถือว่าอากาศร้อนจัดและอันตราย ควรหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดและดูแลตัวเองอย่างใกล้ชิด เพื่อให้คุณและคนที่คุณรักปลอดภัยจากภัยร้ายที่มากับ “ความร้อน”