ทำไมคนเป็นเบาหวานถึงเป็นแผล

แผลในผู้ป่วยเบาหวาน: ปัญหาที่ซ่อนเร้นและการดูแลที่สำคัญ

เบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อระบบประสาทและระบบไหลเวียนโลหิต หนึ่งในภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงและพบบ่อยที่สุดของเบาหวานคือการเกิดแผล แม้จะเป็นแผลเล็กน้อยแต่ก็อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ หากไม่ดูแลอย่างถูกต้อง สาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานมีแนวโน้มที่จะเป็นแผลมากกว่าคนปกติ เกิดจากปัจจัยสำคัญหลายประการ

ปัจจัยแรกคือความเสียหายของเส้นประสาทรับความรู้สึก ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงอย่างต่อเนื่องจะทำลายเส้นประสาท ทำให้ความรู้สึกเจ็บปวดลดน้อยลงหรือหายไป ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บแม้มีแผลเล็กๆ เช่น แผลจากการเสียดสีจากรองเท้าหรือการกระทบกระเทือน ทำให้แผลถูกมองข้ามและไม่รักษาอย่างทันท่วงที การไม่รู้ตัวว่ามีแผลทำให้แผลมีโอกาสที่จะแพร่กระจายและลุกลาม

นอกเหนือจากความเสียหายของเส้นประสาทแล้ว ระดับน้ำตาลในเลือดสูงยังส่งผลกระทบต่อการทำงานของเม็ดเลือดขาว ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการต่อสู้กับการติดเชื้อ เมื่อเม็ดเลือดขาวทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะอ่อนแอลง ทำให้แผลมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราที่เข้าไปในแผลจะเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว นำไปสู่การติดเชื้อรุนแรงและอาจต้องใช้การรักษาทางการแพทย์ที่ซับซ้อนและยาวนาน

อีกปัจจัยหนึ่งคือความผิดปกติของการไหลเวียนโลหิต เบาหวานส่งผลให้หลอดเลือดแข็งตัวและแคบลง ทำให้การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงบริเวณต่างๆ ของร่างกายลดลง รวมถึงไปยังบริเวณแผล การไหลเวียนเลือดที่ไม่ดีจะทำให้การสมานแผลช้าลง แผลมีโอกาสรักษาไม่หายและเป็นแผลเรื้อรังได้

ดังนั้นการดูแลเท้าให้ดีอย่างสม่ำเสมอจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน การตรวจสอบเท้าอย่างละเอียดทุกวัน การสวมใส่รองเท้าที่พอดีและสะดวกสบาย หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่า และการรักษาบาดแผลที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและถูกต้อง เป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันแผลและภาวะแทรกซ้อนที่อาจตามมา หากมีอาการสงสัยว่าเกิดแผล ควรปรึกษาแพทย์ทันที เพราะการรักษาในระยะแรกจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นและป้องกันไม่ให้ลุกลาม

สรุปได้ว่า แผลในผู้ป่วยเบาหวานเกิดจากปัจจัยหลายอย่างที่เชื่อมโยงกัน ทั้งความเสียหายของเส้นประสาท การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ และความผิดปกติของการไหลเวียนโลหิต การดูแลเท้าอย่างสม่ำเสมอและการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างถูกต้อง จึงเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันและรักษาแผลในผู้ป่วยเบาหวานให้ได้ผลดียิ่งขึ้น