รูมาติสซั่มคืออะไร

2 การดู

รูมาตอยด์: มากกว่าแค่ปวดข้อ! รูมาตอยด์คือโรคข้ออักเสบเรื้อรังที่ร้ายแรงกว่าที่คุณคิด มันไม่ใช่แค่การปวดข้อธรรมดา แต่เป็นการอักเสบที่ทำลายข้อต่อ และอาจส่งผลกระทบต่ออวัยวะอื่นๆ ทั่วร่างกาย เช่น ดวงตา และระบบประสาท ดังนั้นการวินิจฉัยและการรักษาที่รวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญ!

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

รูมาติสซึม: ทำความเข้าใจกับโรคร้ายที่มากกว่าแค่ “ปวดเมื่อย”

คำว่า “รูมาติสซึม” อาจเป็นคำที่เราคุ้นเคยกันดี ได้ยินจากผู้ใหญ่ หรือบางทีอาจใช้บรรยายอาการปวดเมื่อยตามร่างกายทั่วไป แต่จริงๆ แล้ว “รูมาติสซึม” ไม่ได้หมายถึงโรคใดโรคหนึ่งเฉพาะเจาะจง หากแต่เป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มอาการหรือโรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อ กระดูก ข้อต่อ เส้นเอ็น และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันต่างๆ

แล้วอะไรคือความแตกต่างระหว่าง “ปวดเมื่อยธรรมดา” กับ “รูมาติสซึม”?

อาการปวดเมื่อยทั่วไป มักเกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อมากเกินไป การนั่งในท่าที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานาน หรือการออกกำลังกายที่ไม่เหมาะสม อาการเหล่านี้มักจะหายได้เองเมื่อพักผ่อน หรือใช้ยาแก้ปวดทั่วไป

ในขณะที่รูมาติสซึม มักเป็นอาการปวดเรื้อรังที่เกิดจากการอักเสบ หรือความผิดปกติของโครงสร้างต่างๆ ในร่างกาย อาการปวดอาจรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลต่อการเคลื่อนไหว และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

โรคอะไรบ้างที่จัดอยู่ในกลุ่ม “รูมาติสซึม”?

กลุ่มโรครูมาติสซึมมีความหลากหลาย และมีโรคที่เป็นที่รู้จักกันดีหลายโรค เช่น:

  • โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis – RA): อย่างที่กล่าวไว้ในบทนำ RA ไม่ใช่แค่การปวดข้อ แต่เป็นโรคอักเสบเรื้อรังที่ทำลายข้อต่อ และอาจลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ
  • โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis – OA): เกิดจากการสึกหรอของกระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อ ทำให้เกิดอาการปวด และข้อติดขัด พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ
  • โรคเกาต์ (Gout): เกิดจากการสะสมของผลึกกรดยูริกในข้อต่อ ทำให้เกิดอาการปวด บวม แดง และร้อนบริเวณข้อ
  • โรคเอสแอลอี (Systemic Lupus Erythematosus – SLE): เป็นโรคภูมิต้านตนเองที่สามารถส่งผลกระทบต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น ผิวหนัง ข้อต่อ ไต และสมอง
  • โรคไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia): เป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยเรื้อรังทั่วร่างกาย ร่วมกับอาการเหนื่อยล้า และปัญหาการนอนหลับ

สัญญาณเตือนที่ควรปรึกษาแพทย์:

หากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม:

  • ปวดข้อ ข้อบวม หรือข้อติดขัดที่เป็นเรื้อรัง (นานกว่า 2-3 สัปดาห์)
  • อาการปวดที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหว หรือการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
  • มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ไข้ ผื่น หรือเหนื่อยล้า

การดูแลตัวเองเบื้องต้นสำหรับผู้ที่มีอาการรูมาติสซึม:

แม้ว่าการรักษาจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ แต่การดูแลตัวเองก็มีส่วนสำคัญในการบรรเทาอาการและชะลอการดำเนินของโรค:

  • พักผ่อนให้เพียงพอ: การพักผ่อนจะช่วยลดการอักเสบ และช่วยให้ร่างกายฟื้นตัว
  • ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม: การออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดิน การว่ายน้ำ หรือการยืดเหยียด จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อ และลดอาการปวด
  • ควบคุมน้ำหนัก: น้ำหนักตัวที่มากเกินไปจะเพิ่มภาระให้กับข้อต่อ โดยเฉพาะข้อเข่า และข้อสะโพก
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เลือกรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
  • จัดการความเครียด: ความเครียดสามารถทำให้อาการปวดแย่ลงได้ ดังนั้นควรหาวิธีจัดการความเครียดที่เหมาะสม เช่น การทำสมาธิ หรือการฝึกหายใจ

สรุป:

รูมาติสซึมเป็นกลุ่มอาการที่ซับซ้อนและหลากหลาย การทำความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างอาการปวดเมื่อยทั่วไป กับอาการที่เกิดจากโรครูมาติสซึมเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณมีอาการที่น่าสงสัย ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง เพื่อให้คุณสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ แม้จะมีอาการจากโรครูมาติสซึมก็ตาม