โรคเส้นเอ็นนิ้วหัวแม่มืออักเสบคืออะไร

0 การดู

อาการปวดแสบร้อนบริเวณโคนนิ้วโป้งและข้อมือด้านนอก อาจบ่งชี้ถึงการอักเสบของเอ็นบริเวณดังกล่าว เกิดจากการใช้งานซ้ำๆ เช่น การใช้คอมพิวเตอร์หรือกิจกรรมที่ต้องใช้มือมาก การพักผ่อนให้เพียงพอและการประคบเย็นช่วยบรรเทาอาการได้ หากอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

โรคเดอร์ เกอร์แวง (De Quervain’s Tenosynovitis): เมื่อนิ้วโป้งส่งสัญญาณเตือนจากการใช้งานหนัก

อาการปวดแสบร้อนบริเวณโคนนิ้วโป้งลามไปถึงข้อมือด้านนอก อาจไม่ใช่แค่อาการเมื่อยล้าจากการใช้งานมือทั่วไป แต่เป็นสัญญาณเตือนของภาวะที่เรียกว่า โรคเดอร์ เกอร์แวง (De Quervain’s Tenosynovitis) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า โรคเส้นเอ็นนิ้วหัวแม่มืออักเสบ โรคนี้เกิดขึ้นจากการอักเสบของเอ็นสองเส้นที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของนิ้วโป้งบริเวณข้อมือ ซึ่งเอ็นเหล่านี้ทำหน้าที่สำคัญในการช่วยให้เราสามารถกำ, บิด, จับ หรือหยิบสิ่งของได้อย่างคล่องแคล่ว

อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงของโรคเดอร์ เกอร์แวง?

แม้ว่าการใช้งานมือซ้ำๆ เช่น การใช้คอมพิวเตอร์, การเล่นโทรศัพท์มือถือ, การตัดเย็บ, การทำสวน, หรือแม้กระทั่งการเลี้ยงลูกเล็กๆ ที่ต้องอุ้มเด็กเป็นเวลานาน จะเป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญ แต่สาเหตุที่แท้จริงของโรคเดอร์ เกอร์แวงยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างแน่ชัด ปัจจัยอื่นๆ ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง ได้แก่:

  • ลักษณะทางกายวิภาค: บางคนอาจมีช่องหุ้มเอ็นบริเวณข้อมือที่แคบกว่าปกติ ทำให้เอ็นเสียดสีกับกระดูกได้ง่ายขึ้น
  • การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน: พบว่าสตรีมีครรภ์หรือสตรีวัยหมดประจำเดือนมีความเสี่ยงสูงขึ้น เนื่องจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงอาจส่งผลต่อความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อ
  • การบาดเจ็บ: การบาดเจ็บบริเวณข้อมือ เช่น การหกล้ม อาจทำให้เกิดการอักเสบและนำไปสู่โรคเดอร์ เกอร์แวงได้
  • โรคประจำตัว: บางโรค เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเดอร์ เกอร์แวง

จะรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังเป็นโรคเดอร์ เกอร์แวง?

อาการหลักของโรคเดอร์ เกอร์แวง คือ อาการปวดบริเวณโคนนิ้วโป้งและข้อมือด้านนอก อาการปวดอาจค่อยๆ เริ่มขึ้นและแย่ลงเมื่อใช้งานมือ หรืออาจเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันหลังจากการใช้งานมืออย่างหนัก อาการอื่นๆ ที่อาจพบร่วมด้วย ได้แก่:

  • อาการบวมบริเวณข้อมือด้านนอก
  • อาการเจ็บเมื่อสัมผัสบริเวณข้อมือด้านนอก
  • อาการปวดร้าวขึ้นไปตามแขน
  • อาการขัดหรือติดเมื่อเคลื่อนไหวนิ้วโป้งหรือข้อมือ
  • ความรู้สึกอ่อนแรงในการกำมือหรือหยิบจับสิ่งของ

การดูแลตัวเองเบื้องต้นเมื่อสงสัยว่าเป็นโรคเดอร์ เกอร์แวง

หากคุณสงสัยว่าตัวเองอาจเป็นโรคเดอร์ เกอร์แวง สิ่งที่ควรทำคือ:

  • พักผ่อน: หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดอาการปวด
  • ประคบเย็น: ประคบเย็นบริเวณที่ปวดครั้งละ 15-20 นาที วันละหลายครั้ง
  • ใช้ผ้ายืดพันข้อมือ: เพื่อช่วยลดการเคลื่อนไหวของข้อมือและบรรเทาอาการปวด
  • รับประทานยาแก้ปวด: เช่น พาราเซตามอล หรือ ไอบูโพรเฟน เพื่อช่วยลดอาการปวด
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม: หากกิจกรรมที่ทำอยู่เป็นสาเหตุของอาการปวด ควรปรับเปลี่ยนท่าทางหรือวิธีการทำงาน เพื่อลดการใช้งานมือในลักษณะเดิมๆ

เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์?

หากอาการปวดไม่ดีขึ้นหลังจากการดูแลตัวเองเบื้องต้น หรือมีอาการแย่ลง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง การวินิจฉัยโรคเดอร์ เกอร์แวงมักทำได้โดยการตรวจร่างกายและการซักประวัติ โดยแพทย์อาจทำการทดสอบที่เรียกว่า Finkelstein test ซึ่งเป็นการดึงนิ้วโป้งเข้าหาแขน หากทำให้เกิดอาการปวดบริเวณข้อมือด้านนอก แสดงว่าอาจเป็นโรคเดอร์ เกอร์แวง

การรักษาโรคเดอร์ เกอร์แวง

การรักษาโรคเดอร์ เกอร์แวงมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและปัจจัยอื่นๆ การรักษาอาจรวมถึง:

  • การฉีดสเตียรอยด์: เป็นการฉีดสเตียรอยด์เข้าไปในช่องหุ้มเอ็น เพื่อลดการอักเสบและอาการปวด
  • การใส่เฝือก: เพื่อจำกัดการเคลื่อนไหวของข้อมือและช่วยให้เอ็นได้พัก
  • กายภาพบำบัด: เพื่อช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของเอ็น
  • การผ่าตัด: ในกรณีที่การรักษาอื่นๆ ไม่ได้ผล อาจจำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อขยายช่องหุ้มเอ็น

ป้องกันดีกว่าแก้:

ถึงแม้ว่าโรคเดอร์ เกอร์แวงอาจเป็นโรคที่น่ารำคาญ แต่เราสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ได้โดย:

  • พักมือเป็นระยะๆ: หากต้องใช้งานมือเป็นเวลานาน ควรพักมือเป็นระยะๆ เพื่อลดความเมื่อยล้า
  • ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ: ยืดเหยียดกล้ามเนื้อและเอ็นบริเวณข้อมือและนิ้วโป้งเป็นประจำ
  • ใช้ท่าทางที่ถูกต้อง: เมื่อใช้งานมือ ควรใช้ท่าทางที่ถูกต้อง เพื่อลดแรงกดบนเอ็น
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดอาการปวด: หากมีอาการปวด ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้อาการปวดแย่ลง

โรคเดอร์ เกอร์แวง ไม่ได้เป็นเพียงอาการปวดเมื่อยเล็กน้อย แต่เป็นสัญญาณเตือนจากร่างกายว่าเราใช้งานมือมากเกินไป การใส่ใจดูแลตัวเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานมือ สามารถช่วยป้องกันและบรรเทาอาการของโรคนี้ได้ หากคุณมีอาการที่สงสัยว่าอาจเป็นโรคเดอร์ เกอร์แวง อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้คุณสามารถใช้งานมือได้อย่างคล่องแคล่วและมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป