เมื่อใดจึงจะหยุดทํา CPR ให้แก่ผู้ป่วย

การตัดสินใจหยุดทำ CPR เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องอาศัยการประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ และแม้จะมีแนวทางปฏิบัติ แต่ในสถานการณ์จริง อาจมีความซับซ้อนมากกว่าที่คาดคิด บทความนี้จะอธิบายถึงปัจจัยต่างๆ ที่ควรพิจารณาเมื่อต้องตัดสินใจหยุดการทำ CPR

สัญญาณชีพกลับคืนมา (Return of Spontaneous Circulation – ROSC): นี่คือเหตุผลหลักในการหยุด CPR ROSC หมายถึงหัวใจของผู้ป่วยเริ่มเต้นเองและมีการหายใจกลับคืนมา สัญญาณบ่งชี้อาจรวมถึง:

• ชีพจรที่จับได้: สามารถคลำชีพจรได้ที่ข้อมือ คอ หรือขาหนีบ
• การหายใจเอง: สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของหน้าอกและได้ยินเสียงหายใจ
• การขยับตัวหรือมีปฏิกิริยาตอบสนอง: เช่น การไอ จาม หรือกะพริบตา
• การเปลี่ยนแปลงของสีผิว: จากที่ซีดเป็นสีชมพูขึ้น

คำสั่งจากบุคลากรทางการแพทย์: เมื่อทีมแพทย์ฉุกเฉินมาถึง พวกเขาจะประเมินสถานการณ์และตัดสินใจว่าควรดำเนินการอย่างไรต่อไป หากพวกเขาพิจารณาแล้วว่าการทำ CPR ต่อไปไม่เป็นประโยชน์หรือมีโอกาสรอดชีวิตน้อยมาก พวกเขาอาจสั่งให้หยุดการทำ CPR การตัดสินใจนี้มักขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ระยะเวลาที่หยุดหายใจ สภาพร่างกายโดยรวมของผู้ป่วย และโรคประจำตัว

ความปลอดภัยของผู้ช่วยเหลือ: ความปลอดภัยของผู้ให้ CPR มีความสำคัญอย่างยิ่ง หากการทำ CPR ต่อไปทำให้ผู้ช่วยเหลือตกอยู่ในอันตราย เช่น อยู่ในสถานที่ที่ไม่ปลอดภัย เกิดเพลิงไหม้ หรือมีภัยคุกคามอื่นๆ ควรหยุดการทำ CPR และย้ายผู้ป่วยไปยังที่ปลอดภัย (ถ้าเป็นไปได้) ก่อนที่จะเริ่มทำ CPR ใหม่

ความอ่อนล้าของผู้ช่วยเหลือ: การทำ CPR เป็นกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานอย่างมาก หากผู้ช่วยเหลือเหนื่อยล้าจนไม่สามารถทำ CPR ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรสับเปลี่ยนกับผู้ช่วยเหลือคนอื่น หากไม่มีผู้ช่วยเหลือคนอื่น และความอ่อนล้าส่งผลต่อคุณภาพของ CPR อย่างมาก อาจจำเป็นต้องหยุดพักเป็นช่วงสั้นๆ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว แต่ควรพยายามลดระยะเวลาการหยุดพักให้น้อยที่สุด

การประเมินอย่างต่อเนื่อง: แม้ว่าจะไม่มี ROSC แต่การประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่องก็เป็นสิ่งสำคัญ สังเกตการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในสภาพของผู้ป่วย และเตรียมพร้อมที่จะเริ่มทำ CPR ใหม่หากจำเป็น

สรุป: การตัดสินใจหยุดทำ CPR เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ROSC คำสั่งจากบุคลากรทางการแพทย์ ความปลอดภัยของผู้ช่วยเหลือ และความอ่อนล้า การประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่องและการปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องจะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วยได้